ไม่ใช่จีนเทา แต่เป็นไทยทำ ‘ล่าเมียว’ หมาล่าสองร้อยล้าน ที่เจ้าของเป็นคนไทย 100%

ถ้าคุณมีเงินเดือนหลักแสน คุณจะลาออกมาเปิดร้านอาหารจีน เพราะภรรยาอยากกินไหม? คำตอบของคนส่วนใหญ่อาจจะไม่ แต่คำตอบของ ‘แอมป์-รัตตรุจน์ ทองประดิษฐ์’ แห่งล่าเมียวคือใช่ และนั่นทำให้เขากลายเป็นเจ้าของร้านหมาล่ารายได้ 200 ล้านในวันนี้

ลาออกจากเงินเดือนหลักแสน มาเปิดร้านอาหารจีนเป็นของตัวเอง

ก่อนหน้าจะมาเป็นซีอีโอในวันนี้ ‘แอมป์-รัตตรุจน์ ทองประดิษฐ์’ เคยเป็นวิศวกรหนุ่มอนาคตไกลที่มีโอกาสได้ไปทำงานไกลบ้านในดินแดนต้นกำเนิดของหมาล่า 

และตอนเดินทางกลับมาสู่บ้านเกิดเมืองนอน เขาไม่ได้ได้แต่ประสบการณ์ แต่ยังได้พา ‘คู่ชีวิต’ หรือภรรยาชาวจีนกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศไทยด้วย และนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘ล่าเมียว’ หมาล่าร้อยล้านในเวลาต่อมา

เพราะหลังเดินทางกลับมาอยู่ไทยแล้ว ภรรยายังมักคิดถึงอาหารจีนอยู่บ่อยๆ เพราะเติบโตมากับรสชาติอาหารจีนเผ็ดร้อนและไม่คุ้นเคยกับอาหารไทย

จึงทำให้แอมป์ที่ในเวลานั้นเริ่มมองว่างานประจำไม่ตอบโจทย์ชีวิตอีกต่อไปหา อยากมีความยืดหยุ่นในชีวิตเพิ่ม เพื่อให้เวลากับลูกชายที่กำลังจะเกิดมามากขึ้น ตัดสินใจว่า ในวัย 31 ปีและมีเงินเดือนหลักแสนนี้ แต่เขาจะลาออกมาเปิดร้านอาหารจีนเป็นของตัวเอง

ตอนแรกขายทัวร์จีน ตอนหลังขายคนไทย กำเนิดเป็น ‘ล่าเมียว’

‘ร้านอาหารจีน’ แห่งแรกของแอมป์นั้นยังไม่ใช่ ‘ล่าเมียว’ อย่างที่เราคิด แต่เป็นร้านอาหารใต้โรงแรมที่มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็น ‘ทัวร์จีน’ ที่แอมป์ไปเซ้งมาในราคา 200,000 กว่าบาท 

ด้วยความเชื่อมั่นว่า คนจีนเวลาท่องเที่ยวก็ต้องมีอยากกินอาหารจีนบ้าง เหมือนกับคนไทยเวลาท่องเที่ยวที่มักจะคิดถึงอาหารไทยและนึกอยากกินผัดกะเพราอยู่เรื่อยๆ ปรากฎว่า แอมป์คิดถูก เพราะร้านได้รับการตอบรับดีจากนักท่องเที่ยวชาวจีนจริงๆ และยังมีลูกค้าไทยสนใจมาใช้บริการด้วย

ปัญหาคือ แม้ว่าลูกค้าไทยจะอยากแวะมากิน แต่ไม่ชอบบรรยากาศของร้านที่มีนักท่องเที่ยวจีนเต็มร้านตลอดทั้งวัน แอมป์จึงเริ่มมองหา ‘ห้างสรรพสินค้า’ เพื่อเปิดร้านอาหารจีนสำหรับคนไทย

โดย ‘แอมป์’ เล่าว่า พอตัดสินใจแนวแน่แล้วว่าจะเจาะกลุ่มลูกค้าคนไทย จึงเลือกดิสรัปวงการอาหารจีนในเวลานั้นด้วยการตกแต่งร้านแบบใหม่ที่ไม่ใช่สไตล์ “จีนจ๋า” แต่ใช้คอนเซปต์ ‘คาเฟ่แมว’ ที่ไม่ได้มีแมวจริงๆ แต่มีมาสคอตแมวเป็นตัวชูโรง เพื่อให้รู้สึกว่าคนไทยเข้าถึงได้ง่ายกว่า

นอกจากนั้น แอป์ยังตัดสินใจนำ ‘ตู้หมาล่าบาร์’ มาตั้งโชว์ในร้านเป็นเจ้าแรกของเมืองไทย เพราะตอนนั้นแอมป์ได้เดินทางไปเห็นร้านหมาล่าทั่งที่เติบโตในหลายประเทศทั่วโลก และมั่นใจว่าจะต้องเติบโตได้ในประเทศไทยอย่างแน่นอน

สุดท้ายจึงกำเนิดออกมาเป็น La Meow หรือ ล่าเมียว สาขาแรก ณ เอสพลานาด รัชดา นำเสนออาหารหูหนานและเสฉวนที่มีรสชาติเผ็ดร้อน พร้อมหมาล่าแบบ D.I.Y ให้ลูกค้าเลือกตักได้ตามใจ

ใช้เซ็นทรัลเวิลด์เป็นฐาน พาแบรนด์ไปต่อ

หลังประสบความสำเร็จกับสาขาเอสพลานาด รัชดา ‘แอมป์’ ก็ตัดสินใจพา ‘ล่าเมียว’ ไปต่อทันที โดยรอบนี้วางเป้าใหญ่กว่าเดิมมาก เพราะอยากจะเข้าไปเปิดร้านใน ‘เซ็นทรัลเวิลด์’ ที่เรียกว่าเป็นแฟล็กชิปของแฟล็กชิปของห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัลให้ได้ เพราะอยากให้ล่าเมียวเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

หลังจากทำไปแล้วทุกอย่างตั้งแต่พรีเซนต์ด้วย PowerPoint ส่งแบบร่าง 3D หน้าร้าน ใช้เวลาไป 3 รอบ ทางเซ็นทรัลเวิลด์ก็ยังคงปฏิเสธ แต่แอมป์ก็ไม่ยอมแพ้ตัดสินใจส่งอาหาร 20 กล่องไปให้บอร์ดบริหารชิม และวันนั้นเอง ‘ล่าเมียว’ ก็ได้รับการอนุมัติจากเซ็นทรัลเวิลด์ทันที (แอมป์จำได้ละเอียดถึงวันที่ว่าเป็นวันที่ 16 ธันวาคมเลยทีเดียว)

ที่สำคัญคือ ‘จุดยุทธศาสตร์’ เพราะล่าเมียวตั้งอยู่ข้างๆ ‘ไหตี่เลา’ ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทยในเวลานั้นพอดี ระดับที่มีคิวเต็มหน้าร้านตลอดวัน เพราะหวังแทรกซึมฐานลูกค้าเดียวกัน ให้หันมาทำความรู้จักกับ ‘ล่าเมียว’ เพิ่มขึ้น

แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ทางก็ขรุขระอยู่เหมือนกัน เพราะ ‘ล่าเมียว’ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์เจอเข้ากับเวฟ 2 ของโควิด และระหว่างที่กำลังจะเปิดสาขาใหม่ ณ เซ็นทรัล พระราม 9 ก็เจอเข้ากับเวฟ 3 อีก นอกจากนั้น สาขาดั้งเดิมอย่าง ‘เอสพลานาด รัชดา’ ที่นักท่องเที่ยวหดหายตั้งแต่เวฟแรกของโควิดก็ต้องตัดสินใจปิดไป

แต่ ‘ล่าเมียว’ ก็ได้สาขา ‘เดอะมอลล์ ท่าพระ’ เป็นตัวการันตีว่าแบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มแมสได้ในที่สุด

เป็นซีอีโอแล้วก็ยังมี ‘น้ำตา’ ได้อยู่

ระหว่างการเติบโตของ ‘ล่าเมียว’ เป็นช่วงเวลาที่แอมป์มีรอยยิ้มและที่สำคัญคือ “มีน้ำตา” ด้วย เพราะตอนนั้นแอมป์เชื่อมั่นว่ายังไงเทรนด์หมาล่าก็มาแน่ๆ ล่าเมียวจึงจำเป็นต้องเร่งขยายสาขา ก่อนที่ผู้เล่นเจ้าอื่นๆ ทั้งไทยและเทศจะเข้ามาในตลาดและเบียดล่าเมียวลงไปเป็นผู้ตาม

ยังไงล่าเมียวก็ต้องเร่งจับตลาดและกลายเป็น “เบอร์ 1 ของหมาล่าในประเทศไทยให้ได้” จึงทำให้กลยุทธ์ของเขาในเวลานั้นคือเพิ่มจำนวนสาขาในโลเคชันยุทธศาสตร์ให้ครบถ้วน

ปัญหา คือ ‘เงินลงทุน’ เพราะสาขาหนึ่งของล่าเมียวที่เปิดในห้างจะต้องใช้เงินหลายล้านในการลงทุน ณ เวลานั้นแอมป์จึงเดินหน้าหาเงินทุนจากทุกทางที่ทำได้ ตั้งแต่เงินของตัวเอง เงินจากพรรคพวกเพื่อนฝูง ไปจนถึงเงินจากธนาคาร แต่สุดท้ายก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการขยายสาขาของล่าเมียว

เวลานั้นแอมป์จึงเลือกเข้าร่วมรายการ Shank Tank ซีซั่น 3 เพื่อหาเงินทุนมาขยายธุรกิจต่อ แต่ก็ถูกปฏิเสธจาก Shank ทุกคน แอมป์บอกว่า เขาถึงกับร้องไห้ออกมาเลย เพราะเตรียมตัวไปเยอะมาก คาดหวังมาก และตอนนั้นเซ็นสัญญาจองที่กับห้างสรรพสินค้าไปแล้ว 2 แห่งต้องใช้เงินกว่า 20 ล้านบาทในการทำร้าน

โชคดีที่หลังรายการออนแอร์ออกไป แอมป์ได้เข้าร่วมโครงการระดมทุน (Crowdfunding) ของ ก.ล.ต. ทำให้ได้เงินมาขยายสาขา 15 ล้านบาทจากเครือสหพัฒน์ ล่าเมียวจึงยังได้เดินหน้าต่อตามแแผนที่วางไว้ ออกไปในหลายๆ สาขาสำคัญอย่างเช่น เซ็นทรัล เวสต์เกต, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เทอร์มินอล พัทยา, เดอะมอลล์บางกะปิ ไปจนถึงเมกาบางนา

ในปี 2023 จึงเป็นปีที่ ‘ล่าเมียว’ เติบโตอย่างก้าวกระโดดจากรายได้ 74 ล้านในปีก่อนหน้า กลายมาเป็น 188 ล้านบาท หรือเติบโตมากถึง 151% ภายในปีเดียว

คนอื่นมองว่าหมาล่าจบ แต่ล่าเมียวกลับทำนิวไฮ

ในปีต่อมา ตลาดหมาล่าก็ถึงจุดพีคจริงๆ แบบที่แอมป์คาดไว้ มีคู่แข่งจากต่างประเทศเข้ามามากมาย โดยเฉพาะจากประเทศจีน จึงเป็นช่วงเวลาที่ล่าเมียวหันกลับมารีเฟรชแบรนด์ใหม่ ปรับปรุงระบบสมาชิก และทำการตลาดอย่างหนัก เพื่อรักษาตลาดเอาไว้

สุดท้ายในห้วงเวลาที่หลายๆ คนบอกว่า “สิ้นสุคยุคหมาล่า” แล้ว แต่ ‘ล่าเมียว’ กลับสามารถทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สร้างรายได้มากถึง 219 ล้านบาทไปในปี 2024

นอกจากนั้น เป้าหมายของแอมป์ก็ยังใหญ่กว่าเดิม เพราะหลังจากมั่นใจในตำแหน่ง “โนหนึ่งหมาล่าประเทศไทย” แล้ว สถานีถัดไปจึงเป็น “King of Chinese F&B” หรือ “เจ้าแห่งอาหารจีน” ในประเทศไทย

ตอนนี้ บริษัท ซีบี ทีเอ เทรดดิ้ง จำกัด ของแอมป์ จึงไม่ได้มีแค่ ‘ล่าเมียว’ แบรนด์เดียวในเครืออีกต่อไป แต่ยังมีอีก 3 แบรนด์อย่าง

  • โมยุเมียว (Moyu Meaw) : ร้านปลาต้มผักกาดดองสุดโด่งดังที่จะในคอนเซปต์แมวดำ (ล่าเมียวคือแมวขาว) โดยจะมีให้ลูกค้าเลือกถึง 7 รสชาติ ในราคาเข้าถึงได้เริ่มต้น 199 บาทและฟรี ข้าวเปล่า จะเน้นเปิดในห้างสรรพสินค้า เป้าหมายปีนี้คือ 5 สาขา อันได้แก่ สยามสแควร์วัน, เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ, ฟิวเจอร์พาร์ค, ยูเนียนมอลล์ และฟอร์จูนพระราม 9
  • หมาล่ายู (Mala U) : ร้านหมาล่านอกห้าง เน้นเจาะตลาดกลุ่มนักศึกษาและคนทั่วไป ตอนนี้มีแล้ว 1 สาขา ตั้งอยู่หน้ามหาวิทยาลัยราชภัฎ สวนดุสิต
  • คีพอินทัช (Keep in touch): ร้านบาร์บีคิวจีนระดับพรีเมียมที่มีเตาหมุนอัตโนมัติ ที่คนไทยไปจีนแล้วจะต้องไปแวะกิน โดยได้สูตรมาจากร้านดังในจีน เตรียมเปิดสาขาแรกที่สยามพารากอนในช่วงปลายปีนี้

ตอนนี้บริษัทมีสาขาต่างๆ รวม 19 สาขา ได้แก่ ล่าเมียว 14 สาขา โมยุเมียว 2 สาขา หมาล่ายู 1 สาขา และคีพอินทัช 1 สาขา ส่วนปีหน้าตั้งเป้าว่าจะโตแบบเท่าตัวสู่ 40 สาขา พร้อมกวาดรายได้ 500 ล้านบาท หรือโตเท่าตัวจากปีนี้นั่นเอง

ซักวันจะ IPO เพราะอยากขยายไปไกลแบบ MK

ถ้าคำนวณจากการระดมทุนตลอดเส้นทางที่ผ่านมาของ บริษัท ซีบี ทีเอ เทรดดิ้ง จำกัด ตอนนี้บริษัทจะมีมูลค่าบริษัทประมาณ 500 ล้านบาท โดย แอมป์ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 60% ผ่านการถือหุ้นในบริษัท ล่าเมียว กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด และถือในนามตนเอง

และไม่ใช่แค่สถานีถัดไปเท่านั้นที่แอมป์คิดถึง เพราะสถานีใหญ่ต่อไปในใจแอมป์คือ การนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (IPO)

เพราะอยากจะขยายสาขาของ ‘ล่าเมียว’ ไปทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยให้เหมือนกับ MK Restaurants พร้อมลบภาพจำว่า “ล่าเมียวเป็นทุนเทา” แบบที่ใครหลายคนเคยเข้าใจผิด เพราะ “ล่าเมียวเป็นแบรนด์ของคนไทย 100%” ทำธุรกิจอย่างถูกต้องมาตั้งแต่วันแรก

พร้อมสร้างระบบของบริษัทให้แข็งแกร่ง ให้ล่าเมียวสามารถยืนแกร่งท่ามกลางกาลเวลา ส่งต่อตัวเองไปสู่คนรุ่นถัดไปได้ รวมถึงสามารถเบ่งบานขยายสาขาไปสู่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ออสเตรเลีย หรือประเทศอื่นๆ  ในฐานะแบรนด์ไทยนั่นเอง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา