KYC และ Credit Scoring การยืนยันตัวตนและประเมินลูกค้าออนไลน์ เพื่อบริการทางการเงินดิจิทัล

บริการทางการเงินที่ถูกพูดถึงอย่างมากในช่วงนี้คือ Cryptocurrency และการทำ ICO ยิ่งล่าสุดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวราคา Bitcoin ลดลงอย่างหนัก ทำเอานักลงทุนหลายคนหวาดหวั่นไปเหมือนกัน และยังมีเงิน Crypto อีกหลายสกุลเริ่มเข้าสู่ตลาด มีบริษัททั้งไทยและเทศเริ่มชิมลางจัด ICO กันมาอย่างต่อเนื่อง

ถ้าจะดูให้ใกล้ตัวกว่านั้น ธนาคารในไทยเริ่มให้ความสนใจการปล่อยสินเชื่อรายย่อยแบบ P2P มากขึ้น ต่อไปสินเชื่อส่วนบุคคลที่วงเงินไม่สูงมากนัก หลักหมื่นถึงหลักแสน สามารถปล่อยกู้ได้ทันทีผ่านการเก็บข้อมูลแบบ Big Data เช่น SCB ที่จะเก็บข้อมูลผ่านแอพ SCB EASY ลูกค้าที่มีบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ มีรูปแบบการใช้เงินที่ดี มีโอกาสขอสินเชื่อผ่านได้ง่าย

Creden.co ทำ eKYC และ Credit Scoring

ทั้งการซื้อขาย Crypto หรือ ICO รวมถึงการให้สินเชื่อแบบ P2P ต้องการการยืนยันตัวตน หรือ KYC ที่ถูกต้องแม่นยำ และต้องมีการประเมินลูกค้า หรือ Credit Score เพื่อให้บริษัทรู้ว่า ลูกค้าคนนี้มีตัวตนอยู่จริงและมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน ซึ่งปัจจุบันมีการนำข้อมูล Big Data จากทุกแหล่งมาวิเคราะห์ และยืนยันความถูกต้องด้วยระบบ Blockchain เพื่อประกอบการตัดสินใจของบริษัท

ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้ร่วมก่อตั้ง Creden.co บอกว่า นี่เป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทย แต่กำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้นและเชื่อว่าจะแพร่หลายในอนาคตอันใกล้ จึงมีการก่อตั้ง Credeo.co ขึ้นเพื่อให้บริการระบบยืนยันตัวตนและประเมินลูกค้าทางออนไลน์

ปัญหาของการยืนยันตัวตนในปัจจุบัน คือ ต้องใช้เอกสารสำเนาจำนวนมาก เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน บัญชีธนาคาร หนังสือรับรอง มีความยุ่งยาก ใช้เวลานาน ซึ่งเป็นขั้นตอนปฏิบัติของภาครัฐ แต่โลกกำลังเปลี่ยนไปสู่ความเป็นดิจิทัล ใช้ข้อมูลในโลกออนไลน์ และเทคโนโลยี Blockchain ในการรับรองและตรวจสอบความถูกต้อง เพื่อลดต้นทุนการดำเนินการและทำให้กระบวนการทั้งหมดเร็วขึ้น ใช้เวลาเพียงนิดเดียว

“นี่คือสิ่งที่ FinTech เข้ามา Distrupt ธุรกิจการเงินการธนาคาร การทำสกุลเงินดิจิทัล หรือการทำ ICO ต้องการระบบ eKYC และ Credit Scoring มาช่วยให้มีความปลอดภัยมากขึ้น”

Creden จับมือ TDAX และ Informatix Plus ซื้อขาย Crypto – ICO

อย่างที่รู้กันว่ากระแสของ Crypto และ ICO ในไทยกำลังแรงขึ้นเรื่อยๆ มีหลายบริษัทเริ่มประกาศดำเนินการแล้ว หนึ่งในนั้นคือ TDAX.com (Thailand Digital Assets Exchange) ที่เปิดจำหน่าย ICO ผ่านเว็บให้กับลูกค้าตั้งแต่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยใช้ระบบยืนยันตัวตน KYC และการป้องกันการฟอกเงิน (AML – Anti- money Laundering) โดยร่วมมือกับ Creden.co และ Informatix Plus

 

 

ปรมินทร์ อินโสม CEO ของ TDAX บอกว่า การป้องกันการฟอกเงิน ใช้ทั้งระบบ KYC และ Face Recognition and Comparison ซึ่งเป็นบริการด้านไบโอเมตริก เพื่อยืนยันตัวตนลูกค้าอย่างเคร่งครัด ถือเป็นกระบวนการทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ต ทั้งหมดเป็นนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นโดยคนไทย

นอกจากนี้ ยังนำ algorithm ของไทยเอง ไปบริการในรูปแบบ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย และ Informatix Plus ได้นำเทคโนโลยี Bio Cloud (Cloud Biometric Datacenter) ที่ใช้อัลกอริธึม Face Recognition พัฒนามาสนับสนุน TDAX ที่เป็นนวัติกรรมของประเทศ ที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain และปัจจุบันสถาบันการเงินต่างๆ เมื่อมีการทำธุรกรรม รายการต่างๆ ในโลกออนไลน์ ปัจจุบัน จะต้องมีกระบวนการ จัดเก็บ ลงทะเบียน (Enrollment) เข้ารหัส อัลกอริธึม (Template) ตรวจเปรียบเทียบ (Matching) เพื่อ ในการสามารถระบุตัวตน (Identification) และ การพิสูจน์ตัวตน (Verification) ได้ในเวลาเดียวกัน

สำหรับ Creden.co จะนำ AI และ Big Data มาใช้ โดยการนำข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ในโลกออนไลน์ และจากองค์กรต่างๆ มารวมเป็น Big Data เพื่อวิเคราะห์ และยืนยันความถูกต้องด้วยเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถระบุ ยืนยันลูกค้าได้อย่างแม่นยำและปลอดภัยตามกฏหมาย นอกจากนั้นยังนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการจัดเก็บ เพื่อให้ข้อมูลทั้งหมดมีความปลอดภัยในระดับสูง

สรุป

การทำ KYC จนถึง eKYC ถือเป็นเรื่องใหม่ในบ้านเรา และยังมีคำถามถึงความแม่นยำและน่าเชื่อถืออยู่ระดับหนึ่ง เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์อีกระยะ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจถ้าการทำธุรกรรมกับธนาคารหรือหน่วยงานรัฐ เรายังต้องรวบรวมเอกสารกระดาษทำสำเนา และไปยื่นด้วยตัวเอง พร้อมกับรอการตรวจสอบอีกหลายวัน แต่ถ้าวันหนึ่งที่ KYC มีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น จะช่วยลดต้นทุนและลดเวลาดำเนินการลงอย่างมาก แต่นั่นต้องมาพร้อมความปลอดภัยและถูกต้องด้วย

 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา