เปิดประตูการลงทุนสู่ประเทศจีน กับ KVPE ในเครือ KBANK สร้างโอกาสที่น่าสนใจให้กับนักลงทุนไทย

เศรษฐกิจโลกยังอยู่บนความไม่แน่นอน กระทบวิถีชีวิตของผู้คนแทบจะทุกภาคส่วน การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก นโยบายระหว่างประเทศมหาอำนาจ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความเสี่ยงเหล่านี้ยังส่งผลต่อสภาวะการลงทุนโดยรวม

ที่เห็นได้ชัดเจนคือสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทย กำลังเจอกับความท้าทายต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ความไม่แน่นอนภายนอกประเทศเท่านั้น แต่ยังมีการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศเองด้วย ที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) เกิดความผันผวน ภาคธุรกิจแข่งขันได้ยากขึ้น นักลงทุนต่างชาติเริ่มลดการถือครองสินทรัพย์ในไทย เพราะเวลานี้ความน่าสนใจของ ‘ตลาดหุ้นไทย’ ลดลง เมื่อเทียบกับในอดีต

ดังนั้น นักลงทุนที่มองหาโอกาสใหม่ๆ และต้องการกระจายความเสี่ยง จึงหันมาให้ความสำคัญกับการกระจายพอร์ต ไปยังตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพสูง และหนึ่งในตลาดที่น่าจับตามองที่สุดในเวลานี้คือ ประเทศจีน

เจาะลึกตลาดจีน: ปัจจัยเสี่ยงและตัวเร่งการเติบโต

ประเทศจีนถือเป็นตลาดใหญ่ที่เน้นภาคการผลิตและส่งออก และโดดเด่นในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆเป็นคนตนเอง ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนในรูปแบบใหม่มุ่งสู่การเติบโตเชิงคุณภาพ ซึ่งวันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจีนมีศักยภาพด้านนวัตกรรมที่เทียบเท่ากับโลกตะวันตกและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลก 

แต่จีนยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งหนึ่งในแรงกดดันสำคัญมาจากนโยบายการเงินของสหรัฐฯ โดยในปีที่ผ่านๆ มา อัตราดอกเบี้ยนโยบาย Fed อยู่ในระดับสูง ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไปยังตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 

นอกจากนี้ ยังมีความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่สะสมต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะการขึ้นภาษีศุลกากร (Tariffs) ที่ตอนนี้ขยับขึ้นมาที่ 20% และมีความเป็นไปได้ว่าอาจขยับขึ้นไปมากกว่านี้ กระทบต่อภาคการส่งออก ทำให้จีนต้องปรับกลยุทธ์เน้นพึ่งพาตัวเองมากขึ้น 

แม้จะเจอกับปัญหาเศรษฐกิจหลายปม รัฐบาลจีนก็ไม่ได้นิ่งดูดาย กลับมีความพยายามแก้ไขปัญหาเรื่อยมา โดยในปี 2567 รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ช่วยกู้เศรษฐกิจฟื้นคืนมาได้ไม่น้อย โดยมุ่งไปที่การเสริมสภาพคล่องให้ระบบเศรษฐกิจ ส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไปพร้อมๆ กับกระตุ้นภาคบริโภคภายในประเทศ ออกมาตรการลดภาษี และแก้ไขปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ค้างคาแก้ไม่ตกมาหลายปี

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนครั้งใหญ่นี้ เริ่มออกฤทธิ์เห็นผลโดยการบริโภคภายในประเทศค่อยๆ ฟื้นตัว ยอดใช้จ่ายในภาคการท่องเที่ยว สินค้าฟุ่มเฟือย และเทคโนโลยีเริ่มดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนทางด้านตลาดทุนจีนก็เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวเช่นกัน แม้จะยังเจอความผันผวน โดย MSCI China Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 33% ในช่วงปีกว่าๆที่ผ่านมา (31 ธันวาคม 2024-18 กุมภาพันธ์ 2025) เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมาสนใจตลาดหุ้นจีน เนื่องจากการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ (Valuation) อยู่ในระดับที่น่าสนใจมากกว่าตลาดสหรัฐฯ และอินเดีย

สถานการณ์ที่ดูเป็นไปในทางบวกทั้งหมดนี้ สอดคล้องไปกับการเติบโตของ GDP จีนตลอดทั้งปี 2567 ขยายตัวที่ 5% ด้วยมูลค่ากว่า 134.9 ล้านล้านหยวน เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ สะท้อนถึงความพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนที่ ‘เอาจริงเอาจัง’

ในปี 2568 นี้ แม้จะยังเป็นอีกปีที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่ยึดโยงไปกับปัจจัยทางการเมืองโลก นโยบายของผู้นำคนใหม่ของมหาอำนาจอเมริกา กำลังเข้ามามีบทบาทต่อการขยับตัวของจีน การรับมือกับพายุลูกใหม่นี้ต้องเน้นพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก ทำให้จีนเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น ไปพร้อมๆ กับการร่วมมือนานาประเทศในลักษณะของพหุภาคี สร้างทางเลือกใหม่ให้มากกว่าเดิม 

โดยอีกหนึ่งการพัฒนาที่น่าจับตา และถือเป็นตัวเปลี่ยนเกมการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน คืออุตสาหกรรมใหม่ เทคโนโลยีและนวัตกรรม อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ชิป พลังงานสะอาด และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการผลิตแบบดั้งเดิม ไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งจะเป็นตัวเร่งสำคัญดันให้จีนเข้าก้าวขึ้นไปสู่แนวหน้าด้านเทคโนโลยีบนเวทีโลกได้อีกทาง

จีนมีความได้เปรียบพื้นฐานที่ประเทศอื่น ๆ ไม่มี เช่น จำนวนบุคลากรที่สำเร็จการศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ซึ่งมีจำนวนถึง 3.5 ล้านคนต่อปี มากที่สุดในโลก คิดเป็น 4 เท่าของสหรัฐอเมริกาในปี 2020 และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นจากการสนับสนุนของภาครัฐที่นำวิชาปัญญาประดิษฐ์มาเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาต้องเรียน

นอกจากนี้ จีนยังมีห่วงโซ่อุปทานของการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่แข็งแกร่ง จากการที่ภาครัฐได้สร้างกรอบการกำกับดูแลข้อมูลที่ครอบคลุม (comprehensive data governance framework) ซึ่งเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการพัฒนา ecosystem ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI ecosystem) อีกทั้งจีนยังสนับสนุนเงินทุนจำนวน 1 ล้านล้านหยวนผ่านกองทุนนำร่อง VC แห่งชาติระยะเวลา 20 ปี เพื่อลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัย รวมถึงปัญญาประดิษฐ์และ quantum-computing

จังหวะลงทุนที่ใช่ สินทรัพย์ราคาถูกและการกระจายพอร์ตที่เหมาะสม

ในภาวะที่ตลาดโลกยังเต็มไปด้วยความผันผวน การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง (Portfolio Diversification) เป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงได้ โดยเฉพาะในสินทรัพย์ที่ยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือสินทรัพย์ที่สามารถเติบโตได้ในระยะยาว หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจคือ การลงทุนในหุ้นนอกตลาด (Private Equity) ที่มีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นทั่วไป (Public Market) 

ตลาดหุ้นโดยทั่วไปมักได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น นโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ย และแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แตกต่างจาก Private Equity ซึ่งเน้นลงทุนในบริษัทที่ยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเลือกบริษัทที่มีพื้นฐานดีและศักยภาพเติบโตสูง

แน่นอนว่าตลาดที่กำลังได้รับความสนใจคือประเทศจีน แม้จีนต้องเจอกับแรงกดดันรอบด้าน แต่ประเทศมหาอำนาจนี้ยังคงเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และพลังงานสะอาด ดังนั้น การลงทุนใน Private Equity ของจีน จึงเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูงก่อนที่บริษัทเหล่านี้จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์

เศรษฐกิจจีนกำลังเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ เพื่อการเติบโตระยะยาว

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนได้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เปลี่ยนบทบาทจากประเทศรับจ้างผลิตหรือโรงงานโลก มาเป็นประเทศผู้นำในอุตสาหกรรม “คุณภาพสูง ราคาต่ำ” (high-quality low cost) และสร้างอุตสาหกรรมชั้นนำของตนเอง ส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศและยังเน้นไปที่อุตสาหกรรมใหม่อย่างเทคโนโลยี นวัตกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ยกตัวอย่างเช่น

  1. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและ AI บริษัทจีนกำลังพัฒนา AI ขั้นสูง และระบบ Large Language Model (LLM) หนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่เป็นฮือฮาในช่วงที่ผ่านมาคือ Deep Seek ซึ่งเป็น AI ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานเชิงลึก มีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า OpenAI ถึง 90% เขย่าวงการเทคอเมริกา โดยการพัฒนา Deep Seek ได้เปลี่ยนโฉมวงการ AI ในจีน ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก และสามารถแข่งขันกับบริษัทระดับโลกได้
  2. อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบขนส่งแห่งอนาคต จีนกำลังลงทุนในหุ่นยนต์ Humanoid และ eVTOL (electric Vertical Takeoff and Landing) หรืออากาศยานไฟฟ้าขึ้นลงแนวดิ่ง ซึ่งเป็นอนาคตของระบบขนส่งในเมืองและโลจิสติกส์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และยังนำไปใช้ในภาคบริการ การแพทย์ และการขนส่งอัจฉริยะได้อีกด้วย
  3. อุตสาหกรรมด้านพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างที่รู้ว่าจีนเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่รายใหญ่ของโลก ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาล ทั้งในรูปแบบเงินอุดหนุนและนโยบายภาษี ทำให้บริษัทจีน เช่น BYD และ CATL สามารถครองตลาด EV และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนได้ นอกจากนี้ จีนยังมุ่งพัฒนาพลังงานทางเลือกอื่นๆ เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในอนาคตเพื่อรักษาตำแหน่งฐานการผลิตระดับโลก จีนจำเป็นต้องยกระดับมาตรฐานการส่งออกผลิตภัณฑ์ เปลี่ยนจากเศรษฐกิจที่พึ่งพาการผลิตหนักไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ในด้านพลังงานนำไปสู่โอกาสการลงทุนมหาศาล และสร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่
  4. อุตสาหกรรมเศรษฐกิจดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศจีน แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ เช่น Alibaba, JD.com, Pinduoduo และ Douyin E-commerce มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการบริโภคภายในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชันชื่อดังมากมายที่เติบโต เช่น Klook แพลตฟอร์มเสนอบริการด้านการท่องเที่ยวดาวรุ่งที่สามารถสร้างรายได้มากถึง 7.2 พันล้านดอลลาร์ พร้อมสนับสนุนการจ้างงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากกว่า 2 แสนตำแหน่ง
  5. อุตสาหกรรมชีวเวชภัณฑ์และการแพทย์ โดยมุ่งเน้นไปที่วัคซีน เทคโนโลยี และยารักษาโรคซับซ้อน เช่น มะเร็งและโรคทางพันธุกรรม ผลักดันให้จีนเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีการแพทย์ของโลก ซึ่งประเทศจีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในระดับโลกในด้านสุขภาพและเทคโนโลยีชีวภาพ โดยจีนนั้นมีส่วนร่วม 23% ของงานวิจัยยาใหม่ทั่วโลก รวมถึงเป็นฐานที่ให้บริการการทำวิจัย (Contract Research Organizations (CROs)) อย่าง WuXi AppTec, Lonza China และ Pharmaron และต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 40% เนื่องจากต้นทุนของนักวิทยาศาสตร์จีน และความรวดเร็วในการทำ Clinical Trial ซึ่งจีนสามารถทดสอบจำนวนผู้ป่วยต่อการทดสอบต่อเดือนได้มากกว่าถึง 2-5 เท่า เราจึงเริ่มเห็นเทรนที่บริษัทยาจีนเริ่มมีการทำ License out ให้กับบริษัทยาข้ามชาติ ซึ่งเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับนักลงทุนที่มองหาธุรกิจชีวเวชภัณฑ์และการแพทย์ ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ยังมีอุตสาหกรรมใหม่อื่นๆ อีกมากมายที่จีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ เช่น อุตสาหกรรมอวกาศและเทคโนโลยีดาวเทียม โครงการสถานีอวกาศ ส่งยานอวกาศไปสำรวจนอกโลก พัฒนาดาวเทียมใช้ในด้านโทรคมนาคมและการพยากรณ์อากาศ ฯลฯ 

KVPE โซลูชั่นการลงทุนที่ตอบโจทย์นักลงทุนรายใหญ่พิเศษ เปิดประตูสู่การลงทุนในจีน 

การกระจายความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญท่ามกลางสถานการณ์ที่โลกผันผวนเช่นนี้ โดยประเทศจีน ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่นักลงทุนให้ความสนใจ และเป็นแหล่งลงทุนที่น่าจับตามอง นักลงทุนที่สามารถเข้าใจแนวโน้มและปรับกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม สามารถใช้ ประตูสู่จีน ไปสู่โอกาสการลงทุนที่เติบโตได้ 

แต่อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติจำนวนมากอาจจะยังขาดประสบการณ์ในการลงทุนสินทรัพย์ของจีน หรือยังไม่คุ้นเคยกับตลาดนี้มากนัก ทางเลือกที่จะช่วยอำนวยความสะดวกต่อการลงทุนได้ คือการลงทุนผ่านผู้บริหารจัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของประเทศจีน อย่าง KVPE

KVPE หรือ Kasikorn Vision (Shanghai) Private Fund Management Co., Ltd. เป็นบริษัทในเครือของ ธนาคารกสิกรไทย ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยให้นักลงทุนไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทางเลือกในการเข้าถึงการลงทุนในจีน อีกทั้งยังเป็นบริษัทย่อยของธนาคารไทยรายแรกที่ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งกองทุน Private Equity จากสมาคมการจัดการสินทรัพย์แห่งประเทศจีน (AMAC) ได้รับโควตาการลงทุนจำนวน 1.5 พันล้านหยวน ผ่านโครงการ Qualified Foreign Limited Partner (QFLP) หรือโครงการที่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถนำเงินทุนเข้าสู่ประเทศจีน 

ปัจจุบันประเทศจีน ขึ้นชื่อว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับการลงทุนในรูปแบบ Private Equity โดยมีขนาดธุรกรรมสูงถึง 74,000 ล้านหยวน (ในปี 2023) จากความต้องการสภาพคล่องของบริษัทจีนที่เพิ่มขึ้น ทำให้การลงทุนผ่าน Private Equity ในจีนน่าสนใจ

KVPE เป็นบริษัทย่อยของธนาคารไทยรายแรกที่ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งกองทุน Private Equity และได้รับโควต้า QFLP (Qualified Foreign Limited Partner) จำนวน 1.5 พันล้านหยวน  เปิดโอกาสให้นักลงทุนที่สนใจเข้าลงทุนตรงในจีนไม่ว่าจะเป็นผ่านกองทุนหรือการร่วมลงทุน (Direct investment) และเพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารกองทุน ทาง KVPE ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงที่ปรึกษาสินทรัพย์นอกตลาดกับมืออาชีพอย่าง StepStone Group (China) Ltd. ที่มีประสบการณ์ในตลาดจีนมากกว่า 15 ปี ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ StepStone Group Inc.  บริษัทการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกนอกตลาดระดับโลก เชี่ยวชาญในการจัดการสินทรัพย์ทางเลือก เช่น 

  • Private Equity: การลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์
  • Private Real Estate: การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพสูงนอกตลาด
  • Infrastructure: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ 
  • Private Debt: การลงทุนในสินเชื่อนอกตลาด

บทบาทของ Stepstone Group (China) Ltd. จะให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์การลงทุน ข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึกแก่ทาง KVPE เพื่อให้บริษัทสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพ และควบคุมความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม โดย KVPE จะเตรียมออกกองทุนในช่วงกลางปี 2568 นี้ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่พิเศษ ได้เข้าถึงสินทรัพย์ใน Private Equity ของจีน ด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจน ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ และมีพันธมิตรระดับโลก 

การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์นอกตลาดจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญ ณ ขณะนี้ และจีนยังคงเป็นหนึ่งในปลายทางที่น่าสนใจ ซึ่ง KVPE ได้เข้ามามีบทบาทเป็นสะพานเชื่อมโอกาสระหว่างนักลงทุนไทยและอาเซียนกับตลาดจีน ด้วยความร่วมมือกับ StepStone Group (China) Ltd. บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนมืออาชีพ 

ความร่วมมือของ 2 บริษัทชั้นนำนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนได้กระจายความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนจากประเทศของตัวเอง เข้าสู่ตลาดศักยภาพอย่าง ‘ประเทศจีน’ นับว่าโอกาสทองที่ไม่ควรมองข้ามเลยจริงๆ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา