โรงพยาบาลก็ต้องมี! บัตรเครดิตมิติใหม่ ต้องแตกเซกเมนต์จับ Niche Market

จากบัตรเครดิตหนึ่งใบที่ให้สิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ตอนนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไปแล้ว เมื่อยุคนี้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลอย่างรวดเร็ว มีไลฟ์สไตล์เฉพาะทางมากขึ้น ถึงคราวบัตรเครดิตแตกเซ็กเมนต์รับความต้องการเฉพาะด้าน

ใช้จ่ายในโรงพยาบาลโตสูง

ปกติแล้วบัตรเครดิตจะมีสิทธิ์ประโยชน์ให้กับกลุ่มการกิน เที่ยว ช้อปเสียส่วนใหญ่ เพราะเป็นไลฟ์สไตล์หลักๆ ที่คนไทยชอบ แต่ภายหลังเริ่มเห็นผู้เล่นบัตรเครดิตได้แตกเซ็กเมนต์บัตรเพื่อจับตลาดเฉพาะมากขึ้น เช่น Citi Royal Orchid Plus Select สำหรับกลุ่มที่รักการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ

ล่าสุด KTC ได้ร่วมกับโรงพยาบาลเวชธานีในการเปิดตัวบัตรเครดิตร่วม “KTC-VEJTHANI VISA SIGNATURE” เป็นบัตรที่มีสิทธิ์ประโยชน์ในการรักษาพยาบาล และดูแลสุขภาพที่โรงพยาบาลเวชธานีโดยเฉพาะ

ความสำคัญของการเปิดบัตรร่วมครั้งนี้ “ระเฑียร ศรีมงคล” ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“ปัจจุบันคนไทยดูแลสุขภาพมากขึ้น และประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุที่ต้งอมีการดูแลสุขภาพพิเศษขึ้น จึงได้คิดลัตรเพื่อนอบโจทย์คงามต้องการด้านสุขภาพ”

เมื่อดูตัวเลขการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดโรงพยาบาลในปี 2560 มีมากกว่า 7,100 ล้านบาท มีการเติบโต 9% และมีผู้ใช้จ่ายผ่านบัตร 994,000 ราย เติบโต 10% จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเปิดบัตรร่วมครั้งนี้ และมองว่าจะมีการเติบโตมากขึ้นต่อเนื่อง

จริงๆ แล้ว KTC เคยร่วมมือกับโรงพยาบาลเวชธานีมาแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน แต่เป็นบัตรประเภทไททาเนียม ในปันี้จึงอัพเกรดเป็นบัตรประเภท Signature เพื่อจับลูกค้าที่มีกำลังซื้อ และผู้บริโภคยุคนี้ก็ต้องการการบริการที่ดีขึ้นด้วย

ขยายฐานคนรักสุขภาพ เป้า 5,000 ราย

การออกบัตรร่วมเป็นการขยายฐานไปยังกลุ่มคนรักสุขภาพให้มากขึ้น ผู้ใช้จะได้สิทธิ์ประโยชน์อย่าง ส่วนลด 50% สำหรับใช้รถพยาบาลฉุกเฉิน ส่วนลด 20% สำหรับค่าบริการห้องพัก และโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปี และส่วนลด 10% สำหรับค่ายา ค่าแล็บ ค่าเอ็กซเรย์ ค่าบริการทันตกรรม

การร่วมมือกันครั้งนี้ทาง KTC ได้จับขยายฐานไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่มากขึ้น ทางโรงพยาบาลเวชธานีได้ในแง่ของลอยัลตี้ที่สูงขึ้น

มีการตั้งเป้าผู้สนใจสมัครบัตร 5,000 ราย และมียอดการใช้จ่ายผ่านลัตรที่โรงพยาบาลเวชธานีสูงขึ้น 20%

สรุป

– การออกบัตรเครดิตในยุคนี้มีการเจาะกลุ่มเป็นเซ็กเมนต์มากขึ้น เพราะได้กลุ่มที่มีกำลังซื้อ และได้ไลฟ์สไตล์ที่ตรงกับความต้องการจริงๆ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายให้มากขึ้นด้วย อีกทั้งยังเป็นการสร้างลอยัลตี้ให้กับทั้ง 2 แบรนด์เพิ่มขึ้นด้วย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา