KTC พัฒนาแอพ TapKTC ระบบไบโอเมตริก สแกนม่านตาแห่งแรกอาเซียน

การพัฒนาปรับปรุงบริการของบริษัททางการเงินยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อำนวยความสะดวกในการใช้งาน ให้จ่ายเงินได้ง่ายๆ ล่าสุดกับ KTC ที่ใช้เทคโนโลยี Biometric ช่วยให้ใช้งานแอพ TapKTC สะดวกขึ้น

พัฒนา TapKTC ยืนยันตัวตนด้วย Biometric

ธศพงษ์  รังควร  ผู้อำนวยการ ธุรกิจบัตรเครดิต เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บอกว่า การปรับโฉมแอพพลิเคชั่น TapKTC รองรับกับเทรนด์ของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับไว ชู 3 เรื่องหลัก คือ ใช้ง่าย เสถียร และปลอดภัย ด้วยการเพิ่มฟังก์ชันใช้งานที่ตอบโจทย์สมาชิกทั่วประเทศให้ได้รับประสบการณ์ที่ดี

ครั้งนี้ KTC เลือกใช้ การยืนยันตัวตนหรือ อัตลักษณ์ (Biometrics) นอกเหนือจากการใช้รหัส (Pin) ที่เพิ่มความปลอดภัยด้วยแป้นพิมพ์ไดนามิค (Dynamic Keyboard) ในการล็อคอินเข้าใช้บริการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล หรือทำรายการธุรกรรมการเงินผ่าน TapKTC

รวมถึง การสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint) และใหม่ล่าสุดกับเทคโนโลยีการสแกนม่านตา (Iris) ผ่านบริการซัมซุง พาส (Samsung Pass) ซึ่งเคทีซีนับเป็นสถาบันการเงิน รายแรกและรายเดียวของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และที่ 3ของโลกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีนี้ 

ความร่วมมือกับซัมซุง ซึ่งผู้ใช้สมาร์ทโฟนซัมซุง แกแล็คซี่ (Samsung Galaxy) ที่มีอินฟราเรด สแกนม่านตา เช่น S8 / S8+ และ Note 8 สามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

โดยที่ข้อมูลทางชีวภาพของสมาชิกจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยที่คลาวด์ (Cloud) ในชื่อ FIDO (Fast Identity Online) ไม่เก็บที่อุปกรณ์สมาร์ทโฟน (Devices) ต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย

การ Log in เข้าใช้บริการ TapKTC ด้วย การสแกนม่านตา (Iris) กับบริการซัมซุง พาส (Samsung Pass) นั้น ปัจจุบันได้อยู่ในการทดลองให้บริการ Regulatory Sandbox ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย และนับจากไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 ต่อเนื่องถึงปี 2561 TapKTC จะเป็นช่องทางสำคัญในการทำกิจกรรมการตลาดเชิงรุกเข้าถึงสมาชิกมากขึ้น

ชู 3 Smart ดันยอดผู้ใช้ 1.5 ล้านราย

เรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์ศรี  ผู้จัดการอาวุโส บริหารจัดการข้อมูลลูกค้า เคทีซี บอกว่า แนวคิดใหม่ของแบรนด์ เคทีซี “ทำให้ง่ายและเข้าใจง่าย” (Smart Simplicity) โดยมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีกับสมาชิก (CX-Customer Experience) ผ่าน 3 แกนหลัก คือ

1. Smart Design ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้ทันสมัย เรียบง่ายและสบายตา เมนูการใช้งานอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม สมาชิกสามารถพบข้อมูลและฟังค์ชันที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว และเลือกใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย

2. Smart Process เน้นให้สมาชิกใช้เวลาทุกขั้นตอนบนแอพพลิเคชั่นให้น้อยที่สุด ตัดกระบวนการที่ยุ่งยาก (Customer Pain Points) และไม่จำเป็นออก เช่น การลงทะเบียน ที่ปรับให้เหลือแค่การกรอกข้อมูลเพียง 2 ฟิลด์

3. Smart Move ใช้หลักการ Business Agility คือ ปรับเปลี่ยนและอัพเดทแอพพลิเคชั่นอย่างสม่ำเสมอ รวดเร็ว และต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์การใช้งานใหม่ๆ เป็นระยะ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของสมาชิกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

จากการพัฒนาแอพ TapKTC คาดว่าจะมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านราย ภายในปี 2561

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา