สจล. เผยเทรนด์พลิกโฉม ธุรกิจ-อุตสาหกรรมไทย ให้รอด ! ย้ำเทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์” – “บิ๊กดาต้า” ใครไม่พร้อมเตรียมจอด

สจล. เผยเทรนด์พลิกโฉม ธุรกิจอุตสาหกรรมไทย ให้รอด ! ย้ำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์” – “บิ๊กดาต้าใครไม่พร้อมเตรียมจอด

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เดินหน้าเสริมสร้างศักยภาพบัณฑิตไทยเทียบชั้นนานาชาติ รุดสร้างองค์ความรู้และทักษะรับยุคดิจิทัล 4.0 ตอกย้ำความสำเร็จงาน ISTS 2018 ระดมมันสมองหัวกระทิ 5 ชาติ แก้โจทย์เพิ่มประสิทธิภาพกระตุ้นการเติบโตทางธุรกิจ ชิงถ้วยรางวัลพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

วันนี้ (13 .. 2561) ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและองค์ความรู้ในยุคดิจิทัล ได้เข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของคนเราในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการดำเนินธุรกิจและกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วโลก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เรียกว่าเทคโนโลยี ดิสรัปชั่นส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องพลิกโฉมระบบการดำเนินงานตลอดจนรูปแบบการให้บริการขององค์กรธุรกิจ เพื่อให้เท่าทันการแข่งขันและตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วและรุนแรงนี้ สจล. ในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย จึงเห็นถึงความสำคัญในการสร้างบัณฑิตยุคใหม่ให้มีความพร้อม ทั้งในด้านองค์ความรู้วิชาการและความเชี่ยวชาญการปฏิบัติ รวมไปถึงการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการมีบุคลากรอย่างเพียงพอในสายงานที่ประเทศชาติและทั่วโลกต้องการ ถือเป็นสร้างโอกาสการแข่งขันและการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติได้ในอนาคต

ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สจล. ได้เร่งพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ควบคู่ไปกับการเปิด/ปรับหลักสูตรใหม่ให้สอดรับสถานการณ์และความต้องการของตลาดแรงงาน อาทิ หลักสูตรวิศวกรรมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (สหวิทยาการ) หลักสูตรวิศวกรรมระบบการผลิตขั้นสูง (นานาชาติ) หลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (นานาชาติ) หลักสูตรการจัดการนวัตกรรมและอุตสาหกรรม หลักสูตรวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมและพลังงานเพื่อความยั่งยืน หลักสูตรนวัตกรรมการจัดการอุตสาหกรรมการบินและการบริการ และหลักสูตรนวัตกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ เป็นต้น ตลอดจนการสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและองค์กรธุรกิจชั้นนำระดับโลก เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และบุคลากรระหว่างกัน โดยครั้งนี้ได้ร่วมมือกับ 3 สถาบันการศึกษา ได้แก่ สถาบันการศึกษาแห่งชาติด้านเทคโนโลยีประเทศญี่ปุ่น (NIT หรือ KOSEN) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนะงะโอะกะ (NUT) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีโทโยฮาชิ (TUT) ร่วมด้วย 5 องค์กรธุรกิจ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทเรือเร็วลมพระยา จำกัด บริษัท พีทีที ดิจิตอล โซลูชั่น จำกัด ออโต้เดสก์ และเอดับบลิวเอส เอ็ดดูเคชั่น จัดงาน ISTS – International Seminar on Technology for Sustainability 2018 ขั้น

กิจกรรมทางการศึกษา ISTS 2018 จัดขึ้นเพื่อให้นักศึกษาทั่วโลก ที่มีใจรักในการเรียนรู้การแก้ปัญหาทางเทคนิคและการจัดการข้ามวัฒนธรรมในโลกธุรกิจ ร่วมคิดค้นและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ตอบโจทย์ปัญหาทางธุรกิจ มุ่งเน้น 5 ด้านสำคัญ ได้แก่ Smart Home & Smart City, Drone, Financial, Artificial Intelligence, Virtual Reality/Augmented Reality  อันสอดรับกับสถานการณ์ในปัจุบันที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อองค์กรธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม จนมีคำพูดว่าในอนาคตจะเข้ามาทดแทนตำแหน่งของงานคนเรา เนื่องจากสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง สามารถวางแผนคิดวิเคราะห์ด้วยเหตุและผล ที่สำคัญยังตอบโต้การสนทนาได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังมีความคิดสร้างสรรค์สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับข้อมูลใหม่ๆ ขณะเดียวกันยังช่วยให้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data ถูกนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในปัจจุบันจะพบว่าสถาบันทางการเงินต่างเร่งพัฒนาเทคโนโลยี สำหรับจัดการฐานข้อมูลให้การทำธุรกรรมสะดวกรวดเร็วและแม่นยำในเสี้ยววินาที โดยเฉพาะการพิจารณาสินเชื่อหากใครทำได้เร็วยิ่งได้เปรียบ ไม่ต่างจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็มีความตื่นตัวในการพัฒนาระบบตอบรับและรับจองให้รวดเร็วง่ายขึ้น หรือแม้กระทั่งการใช้เทคโนโลยีโลกกึ่งเสมือนจริง (AR) มาสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบใหม่เพิ่มอรรถรสและความประทับใจเป็นต้นศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ กล่าว  

ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงาน ISTS 2018 ในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีในการระดมมันสมองจากนักศึกษาและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมรองรับเทรนด์เทคโนโลยีปฏิวัติองค์กรธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมไทย ไฮไลท์สำคัญคือกิจกรรมการแข่งขันแก้ปัญหาในสถานการณ์เสมือนชีวิตการทำงานจริง ผู้แข่งขันต้องร่วมกันวางแผนการจัดการเวลา การทำงานเป็นทีม ปรับเปลี่ยนคิดค้นแก้ปัญหา ในรูปแบบแฮ็คคาธอน (Hackathon) ซึ่งเป็นการบูรณาการกิจกรรมแฮคกิ้ง (Hacking) และการประชุมเชิงปฏิบัติการทางเทคนิค (Technical workshops) แบบมาราธอน 7 วัน ภายใต้ธีม “Innovation Hackdiator: Solution for Sustainability Challenge” โดยนักศึกษาที่เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 30 ทีม จาก 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย จะได้รับโจทย์ปัญหาทางธุรกิจจาก 5 องค์กรธุรกิจ ที่มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามหลักการ Sustainable Development Goals (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ และสอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ประกอบด้วย 1. นวัตกรรมเพื่อธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ 2. ระบบแสดงผลข้อมูลสำหรับสิ่งแวดล้อม 3. แชทบอทปัญญาประดิษฐ์เพื่อบ้านอัจฉริยะ 4. เทคโนโลยีที่ทำให้กลยุทธ์การตลาดแบบเดิมๆ เปลี่ยนไป 5. โดรนเพื่อการบริหารจัดการแวร์เฮาส์ ทุกทีมต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการสร้างสรรค์และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ยกระดับศักยภาพนำไปสู่การบริการที่มีคุณค่าสูง หรือ High Value Service เพื่อความมั่นคง และยั่งยืนของธุรกิจ

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม NEXT Lab กับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา การสนับสนุนการจัดงาน ISTS ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรกและก้าวถัดไปที่ได้เริ่มทำภารกิจที่สำคัญในการส่งเสริมวิจัยด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งธนาคารในฐานะผู้สนับสนุนหลักมีความยินดี และประทับใจในความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา การระดมความคิด วิธีการแก้ปัญหาในรูปแบบใหม่ ของผู้เข้าแข่งขัน ตลอดระยะเวลาการแข่งขัน 7 วัน 6 คืนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้เห็นความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายจนสำเร็จของนักศึกษาจาก 5 ประเทศ และ ความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจของเหล่าพี่เลี้ยงที่มาจากหลากหลายประเทศ ซึ่งบุคคลคนเหล่านี้คือต้นแบบ และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมของประเทศไปสู่ระดับสากล  ตลอดจนนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ให้เกิดขึ้นเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา