กสิกรฯ เผยไทยขาดดุลการค้าจีนที่ 36,600 ล้านดอลลาร์ฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตอกย้ำปัญหาเชิงโครงสร้าง

แม้จีนจะเป็นทั้งคู่ค้าคนสำคัญ และช่วยสร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวของไทย แต่ปัญหาสินค้าจีนตีตลาดไทยกลายเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายจับตามอง เพราะแม้ว่าประชาชนอาจเข้าถึงสินค้าที่ถูกลงในบางประเภท แต่ขณะเดียวกันกับส่งผลกระทบถึง SME และผู้ค้าขายในไทย ไปจนถึงล่าสุด ปี 2566 ที่ผ่านมาไทยขาดทุนการค้ากับจีนทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันจีนเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย โดยไทยส่งออกไปจีนเป็นอันดับที่ 2 (12%) และนำเข้าจากจีนเป็นอันดับที่ 1 (24%) ทั้งนี้ ประเทศไทยขาดดุลการค้ากับจีนมาตลอด และพบว่าการขาดดุลได้ทยอยเร่งตัวขึ้น จนปี 2566 ที่ผ่านมา ไทยขาดดุลการค้ากับจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 36,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ทั้งนี้ สินค้าสำคัญที่ไทยขาดดุลการค้ากับจีน คือ

  • เครื่องจักรและเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า (33.8%)
  • เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ บอยเลอร์ เครื่องจักร เครื่องใช้กล (14.7%)
  • สินค้าประเภทรถยนต์ (7.5%)

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบโครงสร้างสินค้าที่ไทยขาดดุลกับจีนในปี 2560 กับ 2566 พบว่า ไทยขาดดุลสินค้าประเภทรถยนต์กับจีนเพิ่มขึ้นจาก 0.3% มาอยู่ที่ 7.5% ของสินค้าไทยทั้งหมดที่ขาดดุลกับจีน โดยสัดส่วนที่ขาดดุลมาจากรถยนต์และยานยนต์อื่นๆ ที่ออกแบบสำหรับขนส่งบุคคลเป็นหลัก (60.3%) และส่วนประกอบและอุปกรณ์ของยานยนต์ (27.2%) ซึ่งคาดว่าเกิดจากการเข้ามาตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ของบริษัทรถยนต์จากจีน ซึ่งในระยะต่อไปไทยมีแนวโน้มที่จะขาดดุลสินค้าประเภทรถยนต์มากขึ้น เนื่องจากบริษัทรถยนต์จีนหลายแห่งได้เข้ามาตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย จึงคาดว่าการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น 

ขณะเดียวกัน ยังมีหมวดสินค้าที่ไทยเกินดุลการค้ากับจีน คือ 

  • ผลไม้สด (35.8%)
  • ยางพารา (23.4%)
  • ไม้ (7.8%)

*ยางพาราเคยเป็นสินค้าเกินดุลกับจีนอันดับ 1 แต่เนื่องจากความต้องการที่ลดลง และประเทศเพื่อนบ้านกับจีนได้ปลูกยางพาราเพิ่มมากขึ้นทำให้ไทยส่งออกยางพาราไปจีนลดลง

Container Port Shipping ส่งออกสินค้า การค้า
ภาพจาก Unsplash

แม้ไทยจะมีหมวดสินค้าที่เกินดุล แต่เป็นสินค้าเกษตรกรรมที่มูลค่าไม่สูงเพียงพอที่จะชดเชยมูลค่าสินค้าที่ขาดดุลได้ ที่สำคัญแม้จีนจะนำเข้าผลไม้จากไทยเป็นอันดับ 1 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 37% (ทุเรียนคิดเป็นที่ 14% ของการส่งออกผลไม้ของไทยไปจีน) แต่ไทยต้องเจอกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจากการส่งออกผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียนที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามที่มีการปลูกและพัฒนามากขึ้น 

โดยสรุปแล้ว เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างการค้าไทย-จีน การขาดดุลการค้ากับจีนมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะ สินค้าที่ไทยขาดดุลกับจีนเป็นสินค้ามูลค่าสูงที่มีการใช้เทคโนโลยีหรือการประหยัดจากขนาดการผลิต ขณะที่สินค้าที่ไทยเกินดุลเป็นสินค้าเกษตรจำพวกผลไม้ซึ่งปัจจุบันการแข่งขันเริ่มสูง เช่น ทุเรียนจากเวียดนามที่เริ่มเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดทุเรียนในจีนมากขึ้น

สินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนทะลักเข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เนื่องจากจีนมีข้อได้เปรียบเรื่องต้นทุนการผลิต และสินค้าจากจีนได้รับข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ซึ่งกำลังมีการทบทวนข้อยกเว้นดังกล่าว

นอกจากนี้ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้การส่งออกสินค้าขั้นกลางที่เคยส่งออกไปจีนได้มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากบริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตออกจากจีน รวมถึงบริษัทในจีนได้มีการออกไปลงทุนนอกประเทศมากขึ้นเพื่อเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้า 

ดังนั้น ประเมินว่า แนวโน้มการขาดดุลการค้ากับจีนที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเป็นการสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างการส่งออกของไทยในภาพใหญ่ที่ไทยยังไม่มีอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเข้ามาทดแทนและเป็นตัวขับเคลื่อนการส่งออกในระยะข้างหน้า อย่างเช่น เวียดนาม ที่มีอุตสาหกรรมการผลิต semi-conductor ดังนั้น หากไทยยังไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ทิศทางการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้านอกจากจะมีแนวโน้มเติบโตต่ำลงแล้ว การเกินดุลการค้าที่มีแนวโน้มลดลงจะเป็นตัวลดทอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าอีกด้วย  

ที่มา ธนาคารกสิกรไทย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา