ไทยแพ้คนอื่นไปนานแล้ว แต่ไม่ยอมรับความจริง ยุคนี้แข่งกับจีนตรงๆ ยาก ทางที่ดีคือให้ความร่วมมือ

คำพูดมากมาย ความหมาย ‘อวสาน’ 

Flash

แต่อาจต้องอวสานกันอีกรอบจริงๆ เมื่อ ‘คมสันต์ แซ่ลี’ ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง Flash Group พูดในงาน ‘Secret Sauce Summit 2025’ ว่า ในอนาคต ‘อินฟลูเอนเซอร์’ จะหายไป

ท่ามกลางกระแสที่บอกว่า อาชีพอินฟลูฯ นี่ล่ะมาแรง เป็นคู่บุญกับพ่อค้าแม่ค้าอีคอมเมิร์ซ ช่วยกระตุ้นยอดขายต่างๆ นานา แต่ทำไมคมสันต์ถึงคิดต่างออกไป?

คมสันต์เล่าว่า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบ่งออกเป็น 3 ยุค ซึ่งยุคแรกคือยุคของการส่งสินค้าจากโรงงานไปยังลูกค้าโดยตรงในราคาที่ต่ำที่สุด และเป็นยุคที่ไทยกับจีนได้ผ่านมาแล้ว

มาถึงยุคที่ 2 ซึ่งหมายถึงยุคนี้ของอีคอมเมิร์ซไทย ที่เป็นยุคแห่งอินฟลูเอนเซอร์และ KOL โดยผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อสินค้าจากบุคคลที่พวกเขาติดตาม

ขณะเดียวกัน จีนเป็นประเทศที่ผ่านยุคนั้นมาแล้ว โดยกำลังอยู่ในยุคที่ 3 หรือ ยุคที่อินฟลูเอนเซอร์ไม่มีค่าอีกต่อไป เพราะถูก AI มาแทนทั้งหมด และ คนที่จะอยู่รอดได้ ไม่ใช่คนที่เคยมีฐานแฟนคลับมากที่สุด แต่เป็นคนที่ทำแบรนด์เองต่างหาก

คมสันต์อธิบายว่า ทุกวันนี้ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต้องการใช้อินฟลูเอนเซอร์เป็นคนหาลูกค้ามาให้ แต่ถ้าวันหนึ่ง แพลตฟอร์มมีอัลกอริธึมที่ทำให้เจ้าของแบรนด์เข้าถึงตัวลูกค้าได้เอง เช่นนั้น ตัวกลางอย่างอินฟลูฯ จะมีประโยชน์อะไร?

สำหรับคนที่บอกว่า เราอาจไม่ต้องตามรอยจีนก็ได้ เพราะเมืองไทยก็มีดีเหมือนกัน คมสันต์ฝากคำปลอบใจมาให้ว่า “ถ้าเราจะบอกว่าคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกตลอดเวลา จริงๆ เราแพ้ไปนานแล้ว แค่เราไม่ยอมรับ” 

อย่างไรก็ตาม คมสันต์ไม่ได้หมายความว่า คนไทยต้องยอมแพ้ แต่แทนที่จะให้เขาบุกตลาดแล้วกอบโกยอย่างเดียว เราควรไปมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะในแง่การลงทุน การพัฒนา หรือการสร้างแบรนด์ดีกว่าไหม?

คมสันต์หมายความว่าอะไร? มาดูกัน

ขอเป็นสะพานเชื่อมให้จีนเข้ามาในไทย

china

หากใครตามข่าวอยู่บ้าง อาจพอเห็นว่า ในตอนนี้ คมสันต์ แซ่ลี ไม่ได้เป็นแค่เจ้าของ Flash Express แล้ว แต่ยังไปลงทุนก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อว่า ‘Mad Unicorn’ ล้อกับชื่อเรื่องภาษาอังกฤษของ ‘สงครามส่งด่วน’ ด้วย

หลักๆ แล้ว Mad Unicorn จะทำธุรกิจอยู่ 3 อย่างคือ

  1. นำเข้าแบรนด์
  2. ส่งออกแบรนด์
  3. พัฒนาแบรนด์

ฟังดูแปลกๆ เพราะในเมื่อตอนนี้สินค้าจีนทะลักเข้าไทยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แถมลำพังแค่ผู้ประกอบการไทยแข่งกันเอง ก็จะตายอยู่แล้ว นี่คมสันต์ยังอยากนำเข้าสินค้าต่างชาติอีก?

คมสันต์บอกว่า กว่าจีนจะมีวันนี้ได้ พวกเขาก็เริ่มจากการให้ต่างชาติไปรุกตลาดตนเอง เช่น เมื่อก่อน จีนไม่เคยมีค่ายมือถือหรือรถยนต์ของตัวเองด้วยซ้ำ แต่เขายอมให้ชาติอื่นเข้าไป จนสามารถสร้างแบรนด์สัญชาติจีนที่แข็งแกร่งพร้อมสู้กับทั่วโลก

คมสันต์เชื่อว่า หากจะสร้างความเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องนำเทคโนโลยีเข้ามา แต่ก็คงไม่มีประเทศไหนที่อยากจะส่งนวัตกรรมดีๆ มาให้เราตั้งตัวเป็นคู่แข่ง เว้นเสียแต่ว่า เขาจะได้ประโยชน์จากประเทศเรา

ด้วยเหตุนี้ ในฐานะของคนไทยที่พูดจีนได้ หากจีนจะบุกไทยจริงๆ คมสันต์ก็ขอเป็น ‘สะพานเชื่อม’  ให้พวกเขาเข้ามา แล้วทำให้คนไทยเกิดการเรียนรู้จะดีกว่า

คมสันต์มองว่า ธุรกิจจีนเคยผ่านการฟาดฟันมาอย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าไทย เพราะฉะนั้น หากเราไปแข่งกับเขาโดยตรง มันคงยาก ทางที่ดีควรให้ความร่วมมือกับแบรนด์จีนเสีย

“เราพูดง่ายๆ เลยก็ได้ ไก่ทอด ประเทศไทยเปิดได้เก่งสุด 2,000 สาขาเต็มทุกที่แล้ว แต่ 2,000 สาขานี้ ถ้าเทียบกับประเทศจีน ยังไม่ถึง 1 มณฑลเลย ดังนั้น ไม่ว่าเรื่อง Economy of Scale หรือการแข่งขันแบบฟาดฟันในจีนที่เขาผ่านมา มันรุนแรงกว่าประเทศไทยมหาศาล ดังนั้น วันนี้ถ้าเราจะแข่งขันกับเขาตรงๆ ผมว่ายากเกินไป มีแต่ให้ความร่วมมือ”

ให้จีนเข้ามา แต่ไทยก็ต้องได้ประโยชน์ด้วย

Kayou
ภาพจากเว็บไซต์ KAYOU

ตอนนี้ Mad Unicorn ของคมสันต์ก็นำเข้าแบรนด์จีนมาได้สำเร็จแล้วเจ้าหนึ่ง ซึ่งคือ ‘CHAGEE’ (ชาจี) ชาพรีเมียมจากมณฑลยูนนาน

สิ้นปีนี้ คมสันต์ก็เตรียมเปิดตัวอีกแบรนด์หนึ่งในหมวดหมู่ธุรกิจ ‘IP’ (Intellectual Property) หรือทรัพย์สินทางปัญญา ที่ชื่อว่า ‘Kayou’

Kayou เป็นบริษัทจีนที่มีผลิตภัณฑ์เป็น ‘การ์ดสะสม’ จากการ์ตูนเรื่องต่างๆ เช่น โปเกม่อน นารูโตะ อุลตร้าแมน หรือแม้กระทั่ง My Little Pony 

หากพูดง่ายๆ ก็เปรียบเสมือนกับ POP MART ของวงการนักสะสมการ์ดนั่นเอง

ตลาดการ์ดสะสมในประเทศจีนถือว่าแมสมากทีเดียว โดยในปี 2022 มีมูลค่าถึง 3.8 หมื่นล้านบาท และวิจัยยังพบอีกว่า 56% ของแฟนๆ อนิเมะยินดีควักเงินออกมาจ่าย เพื่อซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการ์ตูนที่ตนเองชอบ

นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับแฟนๆ อนิเมะและการ์ตูนชาวไทยไม่น้อย โดยคมสันต์บอกว่า ตนไม่เพียงแต่นำเข้าการ์ดจากจีนเท่านั้น แต่ยังจะใช้ Kayou เป็นแพลตฟอร์มให้คนไทยได้นำ IP ของตนเองมาวางขายด้วย

เอาจริงๆ อย่าง CHAGEE เอง คมสันต์ก็พาทีมงานจากจีนไปรู้จักกับ ‘ใบชา’ ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยเปิดโอกาสให้แบรนด์เข้ามาทำวิจัยและพัฒนาไร่ชาท้องถิ่น ส่งผลให้ชาวสวนในพื้นที่ได้ราคาขายที่ดีขึ้น เพราะมีโอกาสส่งออกด้วย แถมคนไทยยังได้ความรู้อีก

“สักวันเพื่อนร่วมงานเราที่ลาออกจากเราไป หรือพาร์ทเนอร์ของเรา จะมีโอกาสที่จะสร้างแบรนด์ของตนเองขึ้นมาได้” นี่คือความตั้งใจของคมสันต์

อยากทำร้านสะดวกซื้อเป็นของตนเอง เพราะประเทศไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานานแล้ว

Flash
ภาพจากงาน Secret Sauce Summit 2025

นอกจาก CHAGEE กับ Kayou แล้ว อีกหนึ่งธุรกิจที่คมสันต์เล็งไว้คือ ‘ร้านสะดวกซื้อ’

คมสันต์อธิบายว่า เวลาเราเดินเข้า Modern Trade หรือร้านค้าปลีกสมัยใหม่ คุณค่าที่เหลือถึงผู้บริโภคจริงๆ มีไม่ถึง 25% ด้วยซ้ำ เพราะตัวร้านสะดวกซื้อก็หักส่วนของตนเองไปแล้ว 50% ขณะที่เจ้าของโรงงานยังแบ่งเอาไปจ่ายค่าขนส่ง 5% ค่าการตลาด 10% แถมยังหักกำไรเก็บไว้อีก

ดังนั้น คมสันต์จึงหวังว่าตนจะสามารถเข้ามาเปลี่ยนเรื่องนี้ และเชื่อว่าคงมีคนอยากเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

“โลกมันเปลี่ยนไปแล้วทุกคน โลกในอดีต คนตัวใหญ่เท่านั้นถึงจะชนะ แต่โลกในวันนี้ เทคโนโลยีมันเปลี่ยนไป ซัพพลายเชนมันเปลี่ยนไป Business Model ก็เปลี่ยนไป แต่คนที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือผู้บริโภค ผู้บริโภคต้องการทางเลือกใหม่ ในอดีต เราจะเห็นว่า ถ้ามีสงครามนานมาก จะเกิดความสงบ แต่ถ้ามีความผูกขาดนานเกินไป จะเกิดสงครามใหม่” คมสันต์กล่าว

เอาจริงๆ หากเราเป็นคมสันต์ ผู้เป็นต้นแบบซีรีส์สงครามส่งด่วน เราอาจเลือกที่จะพอ ไปพักผ่อนเที่ยวเล่นดีกว่า แต่ทำไมเขาถึงต้องทำธุรกิจต่อ แถมเสี่ยงสร้างศัตรูในตลาดที่มีขาใหญ่ครองถิ่นอยู่แล้วด้วย?

คมสันต์มองว่า การที่เขาเลือกจะเริ่มต้นใหม่ อาจมาจากสายเลือดแห่งความเป็นผู้ประกอบการ ที่อยากให้คนไทยได้เรียนรู้อะไรจากต่างชาติที่บุกเข้ามาบ้าง ขณะที่เราเองก็ต้องไปบุกเขาเช่นกัน ดั่งที่ Mad Unicorn กำลังทำ

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เขาเชื่อคือ “คนไทยควรมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ ผมว่านานมากแล้ว ที่เราไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย”

สุดท้ายนี้ Brand Inside หวังว่า วิสัยทัศน์ของคมสันต์จะเป็นจริง และคนไทยจะได้เรียนรู้เทคนิคดีๆ จากแบรนด์จีนอย่างเต็มที่ จนมาก่อตั้งธุรกิจไปสู้กับระดับโลกสำเร็จ เพราะมิเช่นนั้น ในอนาคตข้างหน้า เราอาจได้เห็นพาดหัว “อวสานประเทศไทย” แน่ๆ

ที่มา: KrAsia

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา