คุณคิดว่า ‘ซาลอน’ กับ ‘บาร์เบอร์’ ต่างกันยังไง?

หลายคนยังติดภาพจำว่า ซาลอนหมายถึงร้านตัดผมหญิง และบาร์เบอร์คือร้านตัดผมชาย แต่ความจริงแล้ว มันไม่ได้แบ่งกันแบบนั้น เพราะซาลอนคือร้านตัดผมสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยมุ่งเน้นบริการที่หลากหลาย ขณะที่บาร์เบอร์อาจโฟกัสสไตล์ที่เรียบง่ายมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น คำว่าซาลอนไม่ได้จำกัดแค่บริการทรงผมอย่างเดียว เพราะ ‘ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์’ ผู้ก่อตั้ง KIKI Beauty Space เผยว่า ซาลอนยังหมายถึงร้านที่มีบริการครบตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วย
KIKI Beauty Space ของ ‘ก้องภพ’ เอง ก็เป็นซาลอนที่ครบวงจรเช่นกัน โดยเป็นเจ้าเดียวในไทยที่มีบริการครอบคลุมหลากหลายแขนง ตั้งแต่ทรงผม เล็บ ใบหน้า ขนตา ต่อผม ไปจนถึงการแต่งหน้า แถมยังมีสัดส่วนลูกค้าผู้ชายมากถึง 40%
นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่ง ที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับซาลอนคือ มันคงเป็นธุรกิจที่ทำได้ไม่ยากเท่าไรนัก แต่ในมุมของก้องภพที่เป็นทั้งผู้ก่อตั้งของ KIKI Beauty Space และ ‘ข้าวมันไก่เฮียโก้’ ในสยามสแควร์แล้ว เขากลับคิดว่า ธุรกิจซาลอนทำยากกว่าร้านอาหารเสียอีก
“เท่าที่เรามองเห็นจากรอบๆ ตัว คิดว่า[ธุรกิจซาลอน]มีการปิดตัวเยอะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีคนนึกว่ามันจะยาก แต่ถ้ามาทำจริงๆ ซาลอนยากกว่าธุรกิจอาหารอีก ทุกคนจะมองว่าร้านอาหารเป็นธุรกิจปราบเซียนนะ แต่ว่าซาลอนเราไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย แม้กระทั่งข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้จากการให้บริการ มันไม่ได้เกิดมาจากคนบริหารไม่เก่ง”
ทั้งนี้ KIKI Beauty Space ก็อยู่รอดมานานถึง 5 ปี แบรนด์ทำได้อย่างไร? มาดูกัน
เป็นซาลอนที่ให้บริการแบบครบวงจรแห่งแรกในไทย

KIKI Beauty Space เป็นธุรกิจที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงโควิด ซึ่งหลายคนอาจมองว่ามันยากลำบาก แต่ก้องภพกลับบอกว่า ธุรกิจของเขาติดตลาดค่อนข้างเร็ว เนื่องจากไม่มีใครเคยทำมาก่อน
แรงบันดาลใจในการเปิดร้านก็ไม่ได้มาจากใครที่ไหนไกล แต่มาจากพี่สาวของก้องภพที่เป็นคนชอบทำเล็บเป็นทุนเดิม และเล็งเห็นว่าบริเวณสยามสแควร์ยังไม่ค่อยมีซาลอนเท่าไร จึงมองมาที่ศักยภาพของทำเลกับธุรกิจ จนต่อยอดมาเป็น KIKI Beauty Space อย่างที่เราเห็นกันวันนี้
ตัวก้องภพเองก็ไม่ได้เรียนจบด้านนี้มาหรอก แต่เขาเป็นคนชอบ ‘รีเสิร์ช’ ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับ KIKI Beauty Space จึงมาจากการวิเคราะห์และวิจัย ผ่านการมองหาโอกาสของธุรกิจ
อย่างคอนเซปต์ ‘One Stop Service’ หรือบริการแบบครบวงจร ก็มาจากปัญหาที่ก้องภพเจอว่า ในสมัยก่อน หากลูกค้าอยากเสริมสวยอะไร พวกเขาต้องไปทีละร้าน ซึ่งกว่าจะเดินทางไปร้านหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ต้องใช้เวลานาน จึงเกิดคอนเซปต์นี้ขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกผู้บริโภคไทย โดยให้ความสำคัญในเรื่องของคุณภาพบริการด้วย
ขายแพงจนถึงหลักแสน แต่คนยังยอมจ่าย ปีนี้คาดรายได้ทะลุ 100 ล้าน

ถ้าถามว่ามีบริการครบวงจรขนาดนี้ ราคาเริ่มต้นที่เท่าไร? ก้องภพก็ตอบว่า คงต้องขึ้นอยู่กับว่าเลือกแพ็กเกจไหน และบริการอะไรบ้าง โดยหลักๆ แล้ว ราคาจะมีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักแสนเลย
ก้องภพเล่าว่า KIKI Beauty Space คือแบรนด์ ‘พรีเมียม’ และ ‘ลักชูรี’ ซึ่งไม่ได้วัดจากราคา แต่มาจากการวิเคราะห์หาวิธีแก้ปัญหาให้ลูกค้าอย่างตรงจุด เพื่อก่อให้เกิดความประทับใจมากกว่า
แม้บางคนอาจไม่เข้าใจว่า ทำไมคนเราถึงต้องมาเสริมสวยแพงขนาดนี้ แต่ก้องภพเสริมว่า KIKI Beauty Space ยังมีลูกค้าประจำกลับมาใช้บริการเรื่อยๆ เพราะพวกเขาเชื่อมั่นในแบรนด์และคุณภาพ ซึ่งสะท้อนให้เห็นในรายได้ของ ‘บริษัท นับเงินไม่ทัน จำกัด’ หรือ KIKI Beauty Space ที่เติบโตขึ้นทุกปีด้วย โดย
-
- 2020: 4.7 ล้านบาท
- 2021: 14.7 ล้านบาท
- 2022: 40.2 ล้านบาท
- 2023: 74.5 ล้านบาท
- 2024: 79.7 ล้านบาท
- 2025: ~110 ล้านบาท (คาดการณ์)
มีบริการแล้ว ก็ต้องมีสินค้าให้ครบตั้งแต่หัวจรดเท้า

ก้องภพมองว่า KIKI Beauty Space คือผู้นำเทรนด์ของวงการ เพราะนอกจากจะเป็นซาลอนแบบครบวงจรแห่งแรกของไทยแล้ว ยังเป็นเจ้าแรกที่มีร้านค้าออนไลน์ด้วย
ปัจจุบัน KIKI Beauty Space มีสินค้าจากแบรนด์ระดับโลกมากมาย เช่น Milkshake, OLAPLEX และ Brazilian Blowout วางขายอยู่ที่หน้าร้านกับมาร์เก็ตเพลส โดยก้องภพอธิบายว่า จุดเริ่มต้นของการขายสินค้าออนไลน์นั้นก็เป็นเพราะธุรกิจนี้เกิดขึ้นในช่วงโควิด ทำให้ไม่สามารถเปิดร้านได้ เลยลองนำสินค้าที่ใช้ในร้านมาขายดู
“ณ ตอนนั้น เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะขายได้หรือเปล่า ก็ลองทำดูก่อน ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะเราคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ต้องลอง ไม่ลอง เราก็ไม่รู้” ก้องภพกล่าว
นอกจากแบรนด์ต่างชาติที่ก้องภพนำมาขายแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ KIKI Beauty Space ยังเปิดขายผลิตภัณฑ์เสริมความงามภายใต้แบรนด์ ‘KIKI Beauty’ เป็นของตนเองด้วย เพราะมองเห็นถึงศักยภาพที่กว้างขึ้น และอยากเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้า
แม้ในตอนนี้ KIKI Beauty มีเพียงผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมกับร่างกายเท่านั้น แต่ในปีหน้า บริษัทจะโฟกัสการพัฒนาสินค้ามากขึ้น โดยยังคงคอนเซปต์ครอบคลุมหัวจรดเท้า ทำให้ในปี 2026 ลูกค้าอาจได้เห็นผลิตภัณฑ์มากมายจากแบรนด์ อาทิ น้ำหอม เครื่องสำอาง หรือสกินแคร์ พร้อมตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ระหว่างสินค้าและบริการเป็นอย่างละครึ่ง จากเดิมที่ยอดขายมาจากบริการถึง 80%
ลูกค้าต่างชาติก็มี ถึงขั้นติดต่อนำกิจการไปเปิดที่ลาว

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ปัจจุบัน KIKI Beauty Space มีลูกค้าต่างชาตินับเป็น 25% ของลูกค้าทั้งหมด โดยก้องภพเผยว่า เป็นคนจากหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และในเอเชียด้วยกัน ซึ่งกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ ส่วนหนึ่งรู้จักแบรนด์จากโซเชียลมีเดีย ขณะที่บางส่วนมาใช้บริการตามคำแนะนำของคนไทยที่รู้จัก
แม้ KIKI Beauty Space จะมีสาขาในไทยเพียง 2 แห่งเท่านั้น คือสยามสแควร์กับเมกาบางนา แต่ก้องภพเผยว่า ในปี 2025 มีลูกค้าจากลาวติดต่อเข้ามาซื้อกิจการไปเปิดด้วย โดยลูกค้าท่านนี้เป็นลูกค้าประจำที่มาใช้บริการตลอด 2-3 ปี และอยากนำมาตรฐานความงามของแบรนด์ไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ประเทศบ้านเกิดบ้าง
ด้วยเหตุนี้ ในเดือนมีนาคมปี 2026 KIKI Beauty Space จึงจะไปเปิดสาขาใหม่ที่ ‘นครเวียงจันทน์’ ประเทศลาว โดยเป็นการขยายสาขาออกนอกประเทศครั้งแรก และไปในรูปแบบ ‘แฟรนไชส์’
ก้องภพบอกว่า จริงๆ เริ่มมีชาติอื่นๆ เข้ามาติดต่อซื้อแฟรนไชส์บ้างแล้ว แต่เขามีข้อแม้ว่าต้องวิเคราะห์โอกาสการเติบโตของตลาดก่อน รวมถึงรักษามาตรฐานแบรนด์ไว้ และสินค้าที่ใช้ก็ต้องไม่ต่างจากสาขาไทย
จากแผนทั้งหมดนี้ ก้องภพคาดว่าในปี 2026 มันเป็นไปได้ที่ KIKI Beauty Space จะเติบโตขึ้นถึง 2 เท่าเลย
ความสำเร็จของ KIKI Beauty Space สะท้อนให้เห็นแล้วว่า ท่ามกลางซาลอนที่ปิดตัวลงกันเรื่อยๆ หากเรารู้จักนำเทรนด์ และส่งมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้า แบรนด์ก็จะยังเติบโตต่อไปได้
- ลอรีอัล กรุ๊ป ทรานส์ฟอร์มครั้งสำคัญ พัฒนาเทคโนโลยีผสานความยั่งยืน ขับเคลื่อนอนาคตความงามระดับโลก
- จากเงินก้อนสุดท้ายของชีวิต สู่ ‘แป้งพัฟ’ ในตำนาน ‘เจ้านาง’ รีแบรนด์ครั้งใหญ่ เพื่อเป้าพันล้าน
ที่มา: Fade Artist, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา