การทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ Kia นั้นเคยมีมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่การส่งรุ่นใหม่อย่าง Niro EV เข้ามารับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาดยุโรป ก็ถือเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากเกาหลีรายนี้
จุดเด่นคือวิ่งได้ไกล 450 กม.
หลังจากรถยนต์ไฟฟ้า 100% อย่าง Niro EV เปิดตัวในฐานะ Concept Car ของ Kia ไปเมื่อต้นปี ในที่สุดค่ายผู้ผลิตรถยนต์รายนี้ก็เปิดตัวรุ่นดังกล่าวอย่างเป็นทางการภายในงาน 2018 Busan International Motor Show แล้ว ถือเป็นการบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% อีกครั้ง ถัดจากปี 2557 ที่ทำตลาดรุ่น Soul EV ไปก่อน
สำหรับ Niro EV นั้นเป็นการต่อยอดของ Kia ที่ทำตลาดรุ่นนี้ภายใต้เครื่องยนต์ Hybrid และ Plug-in Hybrid มาก่อนหน้านี้ ที่สำคัญเครื่องยนต์ไฟฟ้าของรุ่นนี้ยังใช้ตัวเดียวกับที่ติดตั้งในรุ่น Kona ของ Hyundai เพราะค่ายรถยนต์ดังกล่าวเป็นบริษัทแม่ของ Kia
ขณะเดียวกัน Niro EV ยังออกแบบมาเป็นรถยนต์ CUV หรือ Crossover Utility Vehicle รับกับกระแสรถยนต์คันใหญ่ที่ดูลุยๆ แต่วิ่งในเมืองได้อีกด้วย โดยคุณสมบัติเครื่องยนต์ไฟฟ้าของรุ่นนี้คือ วิ่งได้ไกล 450 กม. ผ่านแบตเตอรี่ความจุ kWh รองรับการชาร์จไฟาแบบ 100 kW
รถแรงมาตั้งแต่เร่งเครื่องครั้งแรก
ส่วนเรื่องการขับเคลื่อนนั้นจะมีมอเตอร์กำลังส่ง 204 แรงม้า และแรงบิด 395 นิวตันเมตรที่มาตั้งแต่เหยียบคันเร่ง แต่รถยนต์รุ่นนี้จะขับเคลื่อนเพียงแค่ล้อหน้าเท่านั้น ไม่ได้ขับเคลื่อน 4 ล้อ และด้วยความแรงขนาดนี้ทำให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 7.8 วินาทีเท่านั้น
นอกจากนี้ทาง Kia ยังผลิต Niro EV รุ่นราคาประหยัดออกมาเช่นกัน โดยลดความจุแบตเตอรี่เหลือ 39.2 kWh ทำให้วิ่งได้ไกลสุด 300 กม. ส่วนเรื่องสัดส่วนของตัวรถจะอยู่ที่ 1,850×4,375×1,560 มม. และมีฐานล้อยาว 2,700 มม. ทำให้ถึงเป็นรถยนต์ CUV แต่ก็สามารถนั่งโดยสารได้สบาย ผ่าน Leg Room ที่กว้างขวาง
ทั้งนี้ Kia จะจำหน่าย Niro EV ในกลุ่มยุโรปก่อน หลังจากนั้นจะทยอยทำตลาดในเกาหลี และประเทศอื่นๆ ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ส่วนรถยนต์ตระกูล Niro ที่มีเครื่องยนต์ Hybird และ Plug-in Hybrid นั้นในปี 2560 จำหน่ายภายในกลุ่มประเทศยุโรปไปกว่า 28,000 คัน
สรุป
ถือเป็นการรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องของ Kia เพราะก่อนหน้านี้ก็ชิมลางด้วยรุ่น Soul EV ไปแล้ว ดังนั้นเมื่อค่ายเกาหลีเปิดเกมรุกขนาดนี้ ค่ายญี่ปุ่นยังย่ำอยู่กับที่ ก็เสี่ยงที่จะถูกคู่แข่งหนี รวมถึงฝั่งยุโรป และอเมริกาเองก็ทุ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ามากกว่าเดิมเช่นกัน ทำให้ต้องคอยจับตามองว่าค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นจะทำอย่างไรต่อไป
อ้างอิง // Electrek
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา