ที่จริงแล้วไทยมีคนรวยเยอะมาก โดยเฉพาะระดับ Private Banking หรือคนที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารธนาคาร (AUM) 50 ล้านบาทขึ้นไป เฉพาะของธนาคารกสิกรไทยก็มีอยู่ 11,000 รายแล้ว แล้วปีหน้าคนกลุ่มนี้เขามรกลยุทธ์ลงทุนอย่างไร?
KBank Private Banking ชี้ความท้าทายปี 2562
จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย บอกว่า ลูกค้า Private Banking ของธนาคารที่มีอยู่กว่า 11,000 ราย เริ่มสนใจการลงทุนมากขึ้นปัจจุบัน AUM ของลูกค้าแบ่งเป็นการลงทุน 68% และเงินฝาก 32% แตกต่างจากในอดีตที่เงินฝากมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่ง
ปี 2561 มีปัจจัยกระทบเศรษฐกิจหลายเรื่อง เช่น การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สงครามการค้า ความขัดแย้งสหรัฐกับประเทศอื่นๆ ฯลฯ ซึ่งบางเรื่องจะส่งต่อไปถึงปีหน้าโดยความท้าทายของปี 2562 ใน Capital Market คือ Late Cycle หรือวัฎจักรช่วงท้ายก่อนที่เศรษฐกิจทั่วโลกจะชะลอตัว โดยสิ่งต้องจับตามองได้แก่
- เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มอิ่มตัว (US maturing) เพราะปี 2561 เศรษฐกิจโตต่อเนื่องแต่เมื่อเริ่มชะลอตัวจะสร้างผันผวนให้ตลาด
- การเมือง จะมีการเลือกตั้งในหลายประเทศ ทำให้นักลงทุนหวั่นไหวบ่อยครั้ง
- ธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยได้ยากขึ้น (ไม่กล้าขึ้นดอกเบี้ยสูงอย่างที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้) เพราะเมื่อเศรษฐกิจยังไม่นิ่ง ทำให้นักลงทุนการคาดเดาการขึ้นดอกเบี้ยเฟดยากขึ้นอีก และถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจก็ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวได้
KBank เปิดกลยุทธ์แนะนำการลงทุนในตลาดเงินปี 2562
- กลุ่มที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือ ลูกค้าที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่
อภาวะตลาดระยะสั้น แนะนำให้ซื้อพันธบั ตรระยะยาวทั่วโลก และหุ้นกู้แปลงสภาพ ขณะเดียวกันแนะให้ลดสัดส่วนในหุ้นจาก 25% เหลือ 20% นอกจากนี้ต้องกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ และหันมาถือเงินสดเน้นสภาพคล่อง
ส่วนใครที่อยากลงทุนหุ้นที่บางภูมิภาคยังน่าลงทุน ต้องใช้กลยุทธ์ Long/Short (ซื้อและขายสินทรัพย์พร้อมกัน โดยซื้อกลุ่มสินทรัพย์ที่คาดว่ าผลตอบแทนจะดีกว่าอีกกลุ่มสิ นทรัพย์หนึ่งทั้งในตลาดขาขึ้ นและลง) หรือสร้างกลไกลงทุนในสินทรัพย์ ที่มีการควบคุมความเสี่ยง (Managed Volatility) - คนที่ลงทุนระยะยาว (10 ปีขึ้นไป) กลุ่มนี้จะรับความเปลี่ยนแปลงตลาดในระยะสั้นได้ กลยุทธ์หลักยังต้องกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ทั่วโลก ลงทุนใน Fixed Term Fund และมองหาหุ้นนอกตลาด หรือ Private Equity (ข้อเสียคือต้องซื้อยาว 5-7 ปี แต่คนมองผลตอบแทนไว้ที่ 15-20%) ปีหน้า KBank จะออกผลิตภัณฑ์นี้โดยจะรวมหุ้น 70-80 ตัวทั่วโลก
“ในระยะสั้นบางคนเห็นตลาดหุ้นตกลงแลยตกใจและเทขายออก ขณะที่คนลงทุนระยะยาวสามารถรอจังหวะที่หุ้นจะกลับมาเติบโตขึ้นได้ ซึ่งปกติแล้วการลงทุนยาว 10 ปี ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนอย่างน้อยอยู่ที่ 5-6% อยู่แล้ว
โดยปี 2019 เรามองว่าตลาดหุ้นอาจจะตกลงเล็กน้อยแต่ไม่นาน เพราะเมื่อหลายฝ่ายมองว่าการเกิด ภาวะถดถอยในปี 2020 ช่วงกลางปีนั้นเศรษฐกิจน่าจะหักหัวขึ้น ดังนั้นตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบล่วงหน้า 12 เดือนเลยมองว่าปีหน้าผลตอบแทนการลงทุนอาจจจะน้อยลง ไหนเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยก็ทำให้ผลประกอบการเพิ่มขึ้น แต่พอผ่านปี 2020 ไปตลาดหุ้นอาจจะปรับตัวดีขึ้น”
ลงทุนแบบคนรวย ปรึกษาการลงทุนนอกตลาดหุ้นก็ได้
อย่างไรก็ตามแผนงานของ KBank กลุ่ม Wealth ปี 2019 นอกจากขาลงทุนในตลาดหุ้นยังแนะนำลูกค้าในอีก 2 ด้าน คือ
- Non Capital Market ธนาคารจะนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ตอบโจทย์ลูกค้า อย่างกฎหมายใหม่ๆ เช่น การบริหารภาษี การจัดการภาษีที่ดิน ฯลฯ รวมถึงการแนะนำประกันชีวิตให้ลูกค้าที่ต้องการบริหารภาษี และวางแผนมรดกด้วย
- Services เตรียมออกแอพฯ ใหม่ ทำ Banking Platform เชื่อมลูกค้าให้ง่ายขึ้นโดยจะนำข้อมูลทั่วโลกมาวิเคราะห์และนำเสนอให้ตอบสนองลูกค้า เช่น ในต่างประเทศ มีกองทุนที่รับประกันเงินต้น (ไม่รับประกันผลตอบแทน) ต่อไปจะมีการพัฒนา อาจจะนำมาใช้ในไทย
อยากใช้ที่ดินให้เป็นประโยชน์-วางผังธุรกิจครอบครัวก็ใช้ที่ปรึกษาของธนาคารได้
ในประเทศไทยส่วนใหญ่มักเครื่องเก็บทรัพย์สินในลักษณะที่ดินทางธนาคารเลยมีบริการ เช่น
- การบริหารที่ดิน ปัจจุบันมีลูกค้าประมาณ 80 รายที่นำที่ดินกว่า 600 ไร่มาให้บริการมาให้ธนาคารบริหารคิดเป็นมูลค่า 15,000 ล้านบาท
- นอกจากนี้ยังมีบริการ LandLoan จะให้สินเชื่อโดยมีที่ดินเป็นหลักประกัน ซึ่งลูกค้าต้องนำเงินนี้มาลงทุนกับธนาคาร ปัจจุบันมีการปล่อยสินเชื่อกว่า 1,000 ล้านบาท และมีอีก 23 เคสมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณา
- “LandLoan For investment เราขออนุญาตแบงก์ชาติ เพื่แให้ลูกค้าที่มีที่ดินเยอะๆ สามารถเอาที่ดินเป็นหลักประกันมากู้กับแบงก์ และนำเงินนั้นมาลงทุนกับธนาคาร เหมาะกับช่วงนี้ที่ภาษีที่ดินที่จะมาในปี 2563 อย่างน้อยลูกค้าสามารุลงทุนทำกำไรเพื่อหาส่วนต่างมาเสียภาษี มีลูกค้ามาสนใจเยอะอยู่”
- วงการอสังหาริมทรัพย์ ออกหุ้นบุริมสิทธ์ คาดหวังผลตอบแทน 9-10% ซึ่งทางธนาคารจะจับคู่นักลงทุนกลุ่มหนึ่งกับ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ แต่ละโครงการมูลค่าประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท อนาคตจะขยายขนาดโครงการขึ้นไปอีก
- ช่วยบริหารธุรกิจครอบครัว โดยธนาคารมีผู้เชี่ยวชาญแก้ไขปัญหาลูกค้าเช่น เรื่องภาษี กฎหมาย เรื่องรายได้ แผนธุรกิจครอบครัวอย่างยั่งยืน รวมถึงการจัดตั้งกองทรัสต์
สรุป
ไม่ว่าการลงทุนจะมีขนาดเท่าไหร่ใช้เม็ดเงินมากหรือน้อยนักลงทุนต้องมีความรู้ และศึกษาอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์หลักไม่ว่าจะเป็นการแนะนำลูกค้ารายย่อยหรือรายใหญ่ มักจะเป็นการลงทุนระยะยาว เพราะความเสี่ยงต่ำ และบริหารง่ายกว่าซึ่งคนมีเงินก็อาจจะใช้ที่ปรึกษาในการลงทุน แต่เขาต้องจับตามองสถานการณ์รอบตัวสถานการณ์โลกว่าเศรษฐกิจเป็นไปอย่างไร เพื่อให้ทำกำไรไม่ขาดทุน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา