กสิกรไทย เผยแผนยุทธศาสตร์ 3+1 สร้างการเติบโตผ่าน 3 ลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ การยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพด้านสินเชื่อ การขยายธุรกิจรายได้ค่าธรรมเนียม และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับช่องทางต่างๆ ของธนาคาร เพื่อส่งมอบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการดำเนินยุทธศาสตร์ ‘+1’ ที่จะช่วยสร้างรายได้ใหม่ในระยะกลางและระยะยาว โดยคาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า ‘+1’ จะมีสัดส่วนประมาณ 5% ของกำไรสุทธิของธนาคารตั้ งเป้าเติบโตสินเชื่อในปี 2567 ที่ 3-5% ด้าน KAsset ตั้งเป้าหมายเติบโตประมาณ 30-40% ภายในปี 2569 ส่วนตั้งเป้าจำนวนผู้ใช้งาน K PLUS เติบโตประมาณ 20-30% ภายในปี 2569
ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า มองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะ 3 ปีข้างหน้า จะเติบโตประมาณปีละ 3% โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะยังคงฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึง (K-Shaped Recovery) ขยายตัวที่ 3.1% หลักๆ มาจากการท่องเที่ยว การส่งออก และการใช้จ่ายของภาครัฐท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นในปี 2567 ทางธนาคารจะดำเนินธุรกิจผ่าน “ยุทธศาสตร์ 3 +1” ได้แก่
ยุทธศาสตร์หลักที่ 1 ยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพด้านสินเชื่อ มุ่งเน้นการขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์สินเชื่ออย่างมีคุณภาพ ในกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ และรักษากลุ่มลูกค้าสินเชื่อที่มีอยู่ในปัจจุบัน มุ่งเติบโตสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ ตั้งเป้าการเติบโตสินเชื่อปี 2567 ที่ 3-5% รวมถึงยกระดับระบบสินเชื่อแบบ end-to-end
ยุทธศาสตร์หลักที่ 2 ขยายธุรกิจรายได้ค่าธรรมเนียม โดยมุ่งเน้นธุรกิจบริหารความมั่งคั่งผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนและการให้คำปรึกษาตอบโจทย์ลูกค้า โดยตั้งเป้าสินทรัพย์กองทุนรวมภายใต้การจัดการ (Mutual Fund AUM) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (KAsset) เติบโตประมาณ 30-40% ภายในปี 2569 โดย KAsset มี Mutual Fund AUM ในกองทุนรวมที่ 9.24 แสนล้านบาทในปี 2566
ยุทธศาสตร์หลักที่ 3 เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับช่องทางต่าง ๆ ของธนาคารที่มีอยู่ในปัจจุบัน และริเริ่มช่องทางใหม่แก่ลูกค้าในทุกที่ทุกเวลา โดยธนาคารจะทำควบคู่กับ K PLUS ร่วมกับแพลตฟอร์มอื่นๆ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มฐานผู้ใช้งาน K PLUS เติบโตประมาณ 20-30% ภายในปี 2569 และรักษาความเป็นผู้นำ จากปัจจุบันที่มีจำนวนผู้ใช้งาน 21.7 ล้านราย ในปี 2566
นอกจากนี้ ด้าน ยุทธศาสตร์ ‘+1’ คือ สิ่งที่ธนาคารดำเนินการเพื่อแสวงหารายได้ใหม่ ได้แก่ การลงทุนผ่านบริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด (KIV) การขยายธุรกิจในภูมิภาค และนวัตกรรมที่เป็นมากกว่าบริการทางการเงิน โดยคาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า ‘+1’ จะมีสัดส่วนประมาณ 5% ของกำไรสุทธิของธนาคาร
อย่างไรก็ตาม มองว่าปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวช่วยขับเคลื่อน (Enablers of K-Strategy) ทำให้ธนาคารสามารถเดินหน้าได้ตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1. เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
2. ความสามารถในการวิเคราะห์และการใช้ข้อมูล
3. ทรัพยากรบุคคลที่มีศักยภาพ
ในด้านเป้าหมายทางการเงินปี 2567 ธนาคารกสิกรไทยจะเน้นการเติบโตสมดุล ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ท้าทายจากแนวโน้มดังกล่าว ธนาคารกสิกรไทยจึงให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างสมดุล มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายการให้สินเชื่ออย่างระมัดระวังควบคู่กับการรักษาระดับเงินทุนที่เหมาะสมสอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจ นำไปสู่การกำหนดเป้าหมายทางการเงินปี 2567 ดังนี้
- การเติบโตของเงินให้สินเชื่อ (Loan Growth) ที่ 3-5% สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพในธุรกิจที่ฟื้นตัว สินเชื่อมีหลักประกัน และการเติบโตในภูมิภาค พร้อมยกระดับการดูแลคุณภาพสินทรัพย์ โดยปรับกลยุทธ์การปล่อยสินเชื่อ เสริมศักยภาพด้านเครดิตแบบ end-to-end โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตในแต่ละสินเชื่อแบ่งเป็น 1) สินเชื่อบรรษัทธุรกิจเติบโต 2-4% 2) สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีเติบโต 1-2% และ 3) สินเชื่อลูกค้าบุคคลเติบโต 1-2%
- ผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net Interest Margin: NIM) อยู่ในระดับทรงตัว สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย และการเติบโตสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินยังสูงจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในปีที่แล้ว
- รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ เติบโตที่ Mid to high-single Digit ผ่านการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้า ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมรับจากการทำธุรกรรมลดลงจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
- ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to Income Ratio) คาดว่าจะอยู่ในระดับ Low to Mid-40s จากรายได้ที่เติบโตสอดคล้องกับการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การลงทุนเพื่อสนับสนุน K-Strategy โดยยังคงให้ความสำคัญกับการจัดการต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพ (Productivity) อย่างต่อเนื่อง
- เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL Ratio – Gross) น้อยกว่า 3.25% ทรงตัวภายใต้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ทั่วถึง
- Credit Cost คาดว่าจะอยู่ในช่วง 175-195 bps โดยยังคงใช้หลักความระมัดระวังเพื่อรองรับสภาวะความไม่แน่นอนต่างๆ
- คาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายสร้างอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เป็นเลข 2 หลัก ได้ภายในปี 2569
ที่มา ธนาคารกสิกรไทย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา