ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ชวนย้อนรอยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเงินโอน หรือเงินให้เปล่า ตั้งแต่ เช็คช่วยชาติ ของพรรคประชาธิปัตย์ ถึงการเยียวยาน้ำท่วม 2565 ของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อเปรียบเทียบก่อนการมาของ เงินดิจิทัล 10,000 บาท จากนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย รวมถึงพรรคอื่นที่มีนโยบายรูปแบบเดียวกัน
ย้อนรอยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเงินโอน
เครื่องมือทางการคลังของภาครัฐที่ใช้ในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจมีหลายรูปแบบทั้งมาตรการการคลังผ่านเครื่องมือภาษี มาตรการกึ่งการคลังที่ดำเนินการผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเงินโอนหรือเงินให้เปล่าซึ่งในกรณีหลังมักจะถูกนำมาใช้ในกรณีที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างมากจากปัจจัยภายนอก
เช่น วิกฤตเศรษฐกิจโลก วิกฤตโควิด เป็นต้น รวมถึงใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเฉพาะของกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกร โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ผ่านมาที่ได้ดำเนินการในรูปแบบเงินโอนหรือเงินให้เปล่าในลักษณะต่าง ๆ ตามปัญหาเศรษฐกิจที่เผชิญ รวมถึงเหตุผลและความจำเป็นที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
โครงการ/มาตรการ | รายละเอียด/วงเงิน | ช่วงเวลาดำเนินโครงการ | เหตุผลและความจำเป็น |
---|---|---|---|
เช็คช่วยชาติ | – ให้ความช่วยเหลือแก่บุคลากรภาครัฐและผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท ให้ได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000 บาท/คน เป้าหมายจำนวน 9.7 ล้านคน โดยจ่ายผ่าน “เช็คช่วยชาติ” | ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 52 | เพื่อเป็นการรับกับสภาวะเศรษฐกิจไทยที่หดตัว เนื่องจากปัญหาวิกฤต เศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2551 |
– วงเงินทั้งสิ้น 19,400 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | |||
เยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม 2554 | – ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมครัวเรือนละ 5,000 บาท จำนวน 174,383 ครัวเรือน ใน 44 จังหวัด | 2554 | เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมปี 2554 |
– วงเงินทั้งสิ้น 871.91 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | |||
เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย | – ให้เงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท แก่ชาวนา ซึ่งมีที่ดินทำกินไม่เกิน 15 ไร่ และชาวนาที่มีที่ดินทำกินเกิน 15 ไร่ให้ช่วยเหลือครอบครัวละ 15,000 บาท จำนวน 3.49 ล้านครัวเรือน | 2557 | เพื่อชดเชยผลการขาดทุนในช่วงที่ราคาข้าวตกต่ำมากจนต่ำกว่าต้นทุนของชาวนาผู้ปลูกข้าวโดยมุ่งให้ประโยชน์แก่ชาวนาที่มีฐานะยากจนเป็นสำคัญ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยหดตัวในครึ่งปีแรกปี 2557 |
– วงเงินทั้งสิ้น 40,000 ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. ตั้งวงเงินเพื่อการนี้ไม่เกิน 45,000 ล้านบาท และขออนุมัติงบประมาณชดใช้ตามจ่ายจริงในปีถัดไปพร้อมดอกเบี้ย | |||
กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม* | – ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย (ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ) เช่น การให้วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 200-300 บาท/คน/เดือน ค่าโดยสารรถสาธารณะ 500 บาท/เดือน โดยงบประมาณเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 40,000 ล้านบาท | 2560 – 2566 | เพื่อช่วยเหลือประชาชนในระดับฐานรากและกลุ่มเปราะบาง |
*เดิมคือกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก | – วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 333,229 ล้านบาท (เฉลี่ยงบประมาณ 55,000 ล้านบาท/ปี) โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี ภายใต้กองทุนประชารัฐฯ | ||
เพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | – เพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเกือบ 14 ล้านคน คนละ 200 – 500 บาท/เดือน โดยมีทั้งหมด 5 เฟส วงเงินขึ้นอยู่กับแต่ละเฟส | เดือน ต.ค. 63 – ต.ค.65 | เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด |
– วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 71,787 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก. เงินกู้ฯ ปี 2563 และ 2564 | |||
ช่วยเหลือค่าครองชีพผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | – เพิ่มวงเงินค่าซื้ออุปโภคบริโภคที่จำเป็นในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 200 บาท/คน เป็นระยะเวลา 1 เดือน ประจำเดือนมกราคม 2566 | เดือน ม.ค. 66 | เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง |
– วงเงินทั้งสิ้น 2,644 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | |||
ชิมช้อปใช้ | – ให้สิทธิประโยชน์แก่ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นจำนวนไม่เกิน 15 ล้านคนได้รับสิทธิประโยชน์จากการใช้จ่ายผ่าน แอปฯ เป๋าตัง กับผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการและติดตั้งแอปฯ ถุงเงิน | วันที่ 27 ก.ย. 62 – 31 ม.ค. 63 | เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศและสนับสนุนการใช้จ่ายผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (g-Wallet) |
– ได้รับสิทธิผ่านการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่องที่ 1 (เงินสนับสนุนจากภาครัฐ 1,000 บาท) และการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่องที่ 2 (ประชาชนเติมเงินเพื่อใช้จ่ายและได้รับเงินชดเชยจากภาครัฐร้อยละ 15 หรือ 20 ของยอดใช้จ่ายจริง) | |||
– วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 21,000 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2562 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 | |||
เราไม่ทิ้งกัน | – ให้เงินชดเชยกลุ่มอาชีพอิสระจำนวน 16 ล้านคน และกลุ่มเกษตรกร 10 ล้านคน รวม 26 ล้านคน คนละ 5,000 บาท/เดือน รวมคนละ 15,000 บาท ต่อมาเพิ่มเติมกลุ่มเก็บตกจำนวน 7.9 ล้านคน คนละ 1,000 บาท/เดือน รวมคนละ 3,000 บาท | วันที่ 24 มี.ค.- 30 มิ.ย.63 | เพื่อช่วยเหลือเยียวยาให้กับลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการถูกสั่งปิดเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ |
– วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 413,839 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และ พ.ร.ก. เงินกู้ฯ ปี 2563 | |||
เราชนะ | – ให้การสนับสนุนวงเงินช่วยเหลือให้แก่ประชาชนประมาณ 31.1 ล้านคน วงเงินไม่เกิน 7,000 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน และรอบเพิ่มเติมอีก 32.9 ล้านคน ได้รับเพิ่มอีก 2,000 บาท | เดือน ก.พ.- 31 พ.ค. 64 และถึง 30 มิ.ย.64 สำหรับรอบเพิ่มเติม | เพื่อให้ความช่วยเหลือด้วยการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 |
– วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 277,200 ล้านบาท โดยใช้ พ.ร.ก. เงินกู้ฯ 2563 | |||
คนละครึ่ง | – ภาครัฐร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าและบริการที่กำหนด ในอัตราร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน | เดือน ต.ค. 63 – ต.ค.65 | เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ด้วยการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ เป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศทั้งระบบหลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด |
– เฟส 1 และ 2 ไม่เกิน 3,500 บาท/คน จำนวน 15 ล้านคน (งบประมาณ 52,500 ล้านบาท) | |||
– เฟส 3 ไม่เกิน 3,000 บาท/คน จำนวน 28 ล้านคน (งบประมาณ 84,000 ล้านบาท) | |||
– เฟส 4 ไม่เกิน 1,200 บาท/คน จำนวน 29 ล้านคน (งบประมาณ 34,800 ล้านบาท) | |||
– เฟส 5 ไม่เกิน 800 บาท/คน จำนวน 26.5 ล้านคน (งบประมาณ 21,200 ล้านบาท) | |||
– วงเงินทั้งสิ้น 192,500 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก. เงินกู้ฯ ปี 2563 และ 2564 | |||
เราเที่ยวด้วยกัน | – ภาครัฐสนับสนุนส่วนลดค่าอาหารและค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวรัฐบาลจะสนับสนุนคูปองอาหาร/ท่องเที่ยวมูลค่า 600 บาทต่อห้องต่อคืน ในลักษณะ e-voucher โดยประชาชนชำระ 60% และรัฐบาลสนับสนุนอีก 40% ผ่านการตัดเงินจากคูปอง | เดือน ก.ค. 63 – เม.ย. 66 | เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชนผ่านการท่องเทียวภายในประเทศ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและธุรกิจทีเกียวเนื่อง หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด |
– วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 7,236* ล้านบาท โดยใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก. เงินกู้ฯ ปี 2563 และ 2564 | |||
*คำนวณจากผู้ได้รับสิทธิทั้ง 5 เฟส ประมาณ 12.06 ล้านสิทธิ ได้คูปองสิทธิละ 600 บาท | |||
เยียวยาน้ำท่วม 2565 | – ให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2565 จำนวน 1,046,460 ครัวเรือนที่อยู่ในพื้นที่ กทม. และ 66 จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ในวงเงิน 5,000-9,000 บาท/ครัวเรือน | เริ่มจ่ายงวดแรกวันที่ 20 ม.ค.66 | เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นแก่ครอบครัวผู้ประสบอุทกภัยปี 2565 เป็นกรณีพิเศษ |
– วงเงินทั้งสิ้น 6,258.54 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น |
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ดี แม้ว่าจะเป็นการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึงและยังเผชิญความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากปัจจัยภายนอกทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ตลอดจนประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดขึ้น ซึ่งอาจจะกระทบเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าได้
ดังนั้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะยังมีความจำเป็นในกรณีที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ไม่เป็นไปตามคาด อย่างไรก็ตาม นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่แต่ละพรรคการเมืองประกาศออกมาเพื่อใช้หาเสียงในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. นี้ ได้ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นในการถกเถียงเป็นวงกว้างและในขณะเดียวกันก็สร้างความคาดหวังต่อประชาชนที่สนับสนุนพรรคการเมืองนั้น ๆ เช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้วนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะถูกนำไปดำเนินการหรือไม่ยังขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาล ในขณะที่ผลต่อเศรษฐกิจของนโยบายทางเศรษฐกิจชุดใหม่ โดยเฉพาะมาตรการโอนเงินยังต้องพิจารณา จำนวนเงินโอนต่อหัว เงื่อนไขอื่นๆ ของมาตรการ แหล่งเงินที่จะนำมาใช้ดำเนินมาตรการดังกล่าว รวมถึงผลต่อฐานะการคลังของประเทศ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา