งานเปิดตัว Go Green Project ภารกิจของธนาคารกสิกรไทยในการผลักดัน Green Ecosystem ครบวงจร โดยกฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย มาเล่าให้เราฟังว่า ธนาคารเริ่มผลักดันแคมเปญ Go Green เพื่ออะไรบ้าง ทำอย่างไรบ้างที่น่าจะส่งผลบวกต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไทยให้ประเทศมีระบบนิเวศวิทยาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เรื่องนี้สำคัญต่อผู้บริโภคทั้งในระดับปัจเจกที่ต้องการซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือในระดับเอกชนที่ต้องการปรับเปลียนโรงงานอย่างไร มาดูกัน
ปัญหาโลกร้อนไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่วันนี้ทั้งโลกหันมาใส่ใจแก้ปัญหามากขึ้น
กฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย พูดถึงเรื่องโลกร้อนว่ามันเป็นปัญหาของโลก ที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว เช่น สังคมเราจะเป็นสังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2065 หรืออีกราว 43 ปีข้างหน้า ถือว่าเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างไกล
ธนาคารกสิกรไทยทำเรื่องนี้มาโดยตลอด เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องของคนไทยทุกคน รัฐบาลเริ่มหันมาทำแล้ว เช่น นโยบายเรื่องรถ EV ที่จะสนับสนุนให้ 1.5 แสนบาทตามเงื่อนไขที่กำหนด ถือว่าเป็นตัวเลขที่ใช้ได้ เราเห็นสิ่งนั้น เราคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ธนาคารกสิกรไทยตัดสินใจว่าเรามาชวนคนไทยที่อยากมีชีวิตกรีน และเกี่ยวข้องกับเงินทองนั้น ให้สามารถกลายเป็นเรื่องที่คิดและทำได้
กฤษณ์มองว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมนี้ มีการรณรงค์ทั่วโลกโดยตั้งเป้าให้อุณหภูมิโลกต้องอยู่ในระดับ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งถ้าโลกแตะ 2 องศาเซลเซียสเราน่าจะไม่น่ามีชีวิตอยู่รอดได้ มันจะไม่สามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อีกเลย ในส่วนของธนาคารกสิกรไทยนั้น ทำได้โดยตัวเอง เช่น สำนักงานใหญ่ 3-4 ตึก รวมทั้งสำนักงานใหม่ก็ทำให้กรีน คือดูแลเรื่องประหยัดพลังงาน ดูแลน้ำเสีย ไปจนถึงสินเชื่อสำหรับ SMEs ซึ่งเรื่องกรีนเหล่านี้ปกติทำโดยเป็นการตัดสินใจของธนาคาร
KBank คือ Bank of Sustainability ที่ผ่านมาเราคิดว่าเราทำสิ่งที่ควบคุมได้ เช่น ตึก การดำเนินงาน การลงทุนที่ใครขอกู้เป็นกรีนเราก็ให้กู้ เราให้คำมั่นกับสังคม ประเทศชาติว่าจะให้กรีนไปมากกว่านี้ เช่น ถ้าถามว่ารถยนต์ของธนาคารเราจะเป็น EV หรือยัง ตอนนี้ถือว่าอยู่ในแผนแล้ว
มุ่งสู่เป้าหมาย Go Green Together สำหรับลูกค้า บ้าน รถยนต์ไฟฟ้า โรงงาน
ตอนนี้ธนาคารกสิกรไทย จะทำให้ทุกคนเข้าสู่สังคมกรีนไปด้วยกันคือการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เช่น มีรถ มีบ้าน มีโรงงานจะ Go Green อย่างไร แบ่งได้ดังนี้
- รถ ถ้าท่านต้องการซื้อรถ EV ท่านไม่ต้องผ่อนกับแบงก์ใน 3 เดือนแรก ไม่ต้องส่งเงินต้นด้วย
- บ้าน หรือซื้อบ้านจะทำอย่างไรให้บ้านประหยัดพลังงานมากขึ้น ช่วงที่เรา work from home ค่าไฟก็แพงขึ้นมาก ดังนั้นเราจึงติดแผงโซลาร์ เราไม่คิดดอกเบี้ยเลย เป็นเวลา 3 เดือน หรือเรียกว่า ฟรีดอกเบี้ย 3 เดือน
- โรงงาน ทำอย่างไรให้จ่ายค่าไฟถูกลง กว่าจะคืนทุน 7-8 ปี เราจะช่วยให้ง่ายขึ้น เช่น ฟรีดอกเบี้ย 3 เดือนแรก สำหรับคนที่ติดโซลาร์ เมื่อผ่านจุด 7-8 ปีไปแล้วก็คือกำไรล้วนๆ
ในโครงการนี้ทั้งหมด เป็นก้าวแรกรวมเงินไว้ทั้งหมดอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับ 3 เรื่องที่ทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น ถ้ามีคนเข้ามาเยอะขึ้น วงเงินเต็ม อาจจะมีคู่แข่งเพิ่ม ทำให้ธนาคารอื่นลงมือทำเรื่องกรีนด้วยกัน เมื่อลูกค้าต้องการสิ่งนี้มากขึ้น ตลาดแห่งนี้จะใหญ่ขึ้น เมื่อลูกค้าใช้ ลูกค้าได้ประโยชน์ ขยายตลาด ธนาคารก็ได้ ทำให้สังคมดีขึ้น ไลฟ์สไตล์จะขยับไปทางนั้นมากขึ้นซึ่งจะส่งผลไปยังการลงทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ธนาคารก็จะไปช่วยดูให้มันขยายตัวเร็วขึ้น
เป้า 3,000 ล้านบาทเพื่อ Go Green อาจขยายไปถึง 10,000 ล้านบาทได้ ถ้าสังคมช่วยกันเปลี่ยน
กฤษณ์พูดถึงความคาดหวังว่าเรื่องเป้า 3,000 ล้านบาทที่จะช่วยหนุนให้คน Go Green มากขึ้นนั้น หวังว่าคนจะติดโซลาร์เซลส์ที่บ้านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าทำให้สังคมเป็นกรีนได้ 3,000 ล้านนี้ก็คือเบื้องต้น อนาคตอาจพุ่งถึง 10,000 ล้านบาทได้ ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับลูกค้าที่ช่วยในการขยายด้วย
สาเหตุที่กสิกรต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนชีวิต ต้องบอกว่าเรื่องที่รัฐบาลออกมาตรการสร้างแรงจูงใจผ่านนโยบายหนุน EV หรือหันมาส่นใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นนั้น ทางกสิกรไทยไม่ได้รอ แต่ละเรื่องต้องมีผู้นำ ผู้นำต้องมีความกล้า เราเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน หมายความว่าไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ทำเป็นเรื่องที่ดีอย่างเดียวแต่เราลงมือทำด้วย
ยกตัวอย่างเช่น การแปลงอาคารให้เป็นกรีนก็สำเร็จได้ขั้นหนึ่ง ทางกสิกรไทยเราขอกระโดดเข้ามาเชิญชวนคนไทยในวงกว้างว่า ระบบนิเวศน์แบบใหม่จากพลังงานจะทำอย่างไร ถ้าคนใช้เยอะขึ้น ก็กระทบโรงไฟฟ้าเอง เช่น โรงงานใช้ไฟฟ้าอะไรอยู่ ทำอย่างไรให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น สิ่งที่เราตั้งใจทำคือลงมือทำสักที ของเราคือแบบนี้ คำถามต่อมา ทำสักทีของลูกค้าที่ตัดสินใจเรื่องบ้าน ทำสักทีคือเรื่องอะไร?
สนับสนุนให้แข่งขันอย่างยิ่ง อย่าคิดอย่างเดียว ขอให้ลงมือทำด้วย
กฤษณ์พูดถึงปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมว่า เดิมคนมองเห็นภาพว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก อาจยากไป ไกลตัวและดูเป็นเรื่องของคนอื่น วิธีคิดแบบนี้ทำให้สังคมกรีนมีอุปสรรค เมื่ออุปสรรคนำจะทำให้เรื่องเดินช้า ปัญหา0tอยู่ยาวนานมากขึ้น
แคมเปญนี้ถือเป็นก้าวแรกของธนาคาร ไม่สำคัญเท่ากับว่าแอคชั่นแรกของทุกคนคืออะไร เราชวนทุกคนมาเปลี่ยนไลฟ์ไตล์คือมีความคิดมุ่งมั่นและมีแรงจูงใจเพียงพอ ในการทำบ้าน รถ โรงงานประหยัดพลังงานมากขึ้น เพื่อให้ธนาคารดูแลดอกเบี้ย ดูแลการผ่อนในการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ขอให้ติดตามก้าวแรกต่อไป เปลี่ยนจากความคิดที่ดีที่ชวนให้ตัดสินใจง่ายขึ้นที่เป็นก้าวแรกและอยากให้คอยติดตามตอนต่อไป
เป้าหมาย Go Green ของธนาคารกสิกรไทยนี้ เรามีเป้าใหญ่มาก เราดูว่าอุตสาหกรรมไหนที่เกี่ยวข้องบ้าง เราพบว่าคนคิดถึงเรื่องพลังงานกันเยอะขึ้น เราพยายามทำให้สังคมเข้าสู่สังคมคาร์บอนได้เร็วขึ้น ทำให้คนเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเข้าถึงแหล่งประหยัดพลังงานได้ มันไม่ใช่แค่ Go Green และปล่อยสินเชื่อแล้วจบ ถ้าติดตามโจทย์ทางธนาคารแห่งประเทศไทย ทางผู้ว่าแบงก์ชาติก็มองเรื่อง Sustainability เป็นเรื่องสำคัญมากเช่นกัน เรายังอยู่ในช่วงกำลังพัฒนาอยู่หรือเรียกว่าอยู่ในช่วง hybrid
เราตั้งเป้าให้ portfolio ของเราดูแลเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ทั้งอุตสาหกรรมต้องมาช่วยกันดูแล เรามีแผนที่จะทำให้แผน operation ของเรากลายเป็นศูนย์ได้เลย เช่น สาขาในธนาคารต้องมีโซลาร์เซลส์ไหม โจทย์นี้ใหญ่มาก เราเองกำลังเดินหน้าถ่ายทอดออกมาเป็นเป้าหมายเช่นกันว่า เราจะ Go Green ต่อไปอย่างไร
เป้า 3,000 ล้านบาทหากเทียบกับขนาดของแบงก์ถือว่าไม่เยอะ แต่ 3,000 ล้านได้ภายในเมื่อไร เราไม่ได้มีลิมิตว่าจะเลิกเมื่อไร น่าจะเรียกว่าเป็นแคมเปญตัวกระตุ้นที่เราสามารถขยายได้ในอนาคต เพราะนี่คือก้าวแรก
ปัจจุบันเราปล่อยสินเชื่อ Go Green ไปแล้วระดับหมื่นล้านบาท แต่ก่อนหน้านั้น การปล่อยสินเชื่อคือบริษัทขนาดใหญ่และ SMEs ขนาดใหญ่ ซึ่งเจ้าของธุรกิจจะมองว่าอาจต้องจ่ายแพงขึ้นหรือเปล่าในการ Go Green ที่ผ่านมาเราปล่อยสินเชื่อเป็นหมื่นล้านบาทแล้วถือว่าเป็นตัวเลขที่ดี แต่เราจะแตะแสนล้านบาทได้ในวันหนึ่งซึ่งก็ขึ้นอยู่กับลูกค้าด้วยถ้าเขาเปลี่ยนจากความคิด มาเป็นการลงมือปฏิบัติก็สามารถขยายจากหมื่นล้านเป็นแสนล้านบาทได้ ยิ่งธนาคารอื่นออกแคมเปญมากขึ้น นิเวศวิทยาเช่นนี้ก็จะขยายกว้างมากขึ้น
ธนาคารมีแผนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง กล่าวได้ว่าแผนแรก คือเราจะทำให้มันหลากหลายหรือแพร่หลายยังไง แผนสอง คือการเปลี่ยนรถยนต์ที่ใช้ให้เป็นรถ EV และแผนสาม คือการชวนลูกค้ายังไงในกลุ่มต่างๆ เช่น รถยนต์ บ้าน โรงงานขนาดเล็ก กลุ่มโรงงานขนาดใหญ่ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่เป็นเรื่องใหญ่มาก นี่เป็นก้าวแรกที่จะมีก้าวสอง ก้าวสามออกมาต่อไป
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา