Jamie Dimon ซีอีโอของ JPMorgan Chase ธนาคารที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก และเจ้าของวลี ‘Silicon Valley is Coming’ ที่เตือนให้แวดวงธนาคารพร้อมรับมือคู่แข่งหน้าใหม่จากวงการไอที เขียนจดหมายประจำปีถึงผู้ถือหุ้น เล่าว่าเขามีแผนรับมือ FinTech อย่างไร
Dimon บอกว่า JPMorgan Chase ลงทุนเรื่องเทคโนโลยีเป็นเงินมหาศาลในแต่ละปี ตัวเลขในปี 2016 บริษัทใช้เงินไปถึง 9.5 พันล้านดอลลาร์ และในจำนวนนี้ เงินประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ ถูกใช้ไปกับโครงการใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นดิจิทัล, big data, machine learning
ฝั่งของ FinTech ได้รับเงินลงทุนไปถึง 600 ล้าน แม้ว่า JPMorgan ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ทั้งหมดว่าจะทำอะไรบ้าง แต่ที่กล่าวถึงก็มีความน่าสนใจ ดังนี้
- ธนาคารดิจิทัล 100% เปิดบัญชีและทำธุรกรรมทั้งหมดได้จากสมาร์ทโฟน ไม่ต้องไปสาขา
- พัฒนาระบบช่วยแนะนำการลงทุนอัตโนมัติ ลูกค้าสามารถวางแผนการลงทุน ซื้อขายหุ้นและพันธบัตร โดยเสียค่าธรรมเนียมไม่แพง
- พัฒนาระบบซื้อขายหุ้นออนไลน์ และระบบออนไลน์สำหรับลูกค้ากลุ่ม Corporate & Investment Bank กับ Asset & Wealth Management ให้ขยับสู่ดิจิทัลได้เร็วขึ้น
ที่ผ่านมา JPMorgan Chase ยังมีแล็บ Financial Solutions Lab ที่ทำงานร่วมกับบริษัท FinTech เพื่อช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ตอนนี้มีบริษัทเข้าร่วมแล้ว 18 ราย หลังจากผ่านแล็บแล้ว บริษัทเหล่านี้ระดมทุนได้รวมกันเกิน 100 ล้านดอลลาร์แล้ว ตัวอย่างบริษัทที่ผ่านแล็บของ JPMorgan คือ Digit เครื่องมือช่วยหาเศษเงินจากธุรกรรมต่างๆ เพื่อปัดเข้าบัญชีออมทรัพย์ให้อัตโนมัติ เป็นการเพิ่มเงินออมไปในตัว
JPMorgan ยังทำงานกับสตาร์ตอัพอีกหลายราย เช่น Zelle (ระบบจ่ายเงิน), Roostify (การจำนอง), TrueCar (ไฟแนนซ์รถ), OnDeck Capital (เงินกู้สำหรับ SME), Symphony (ระบบแช็ทสำหรับผู้ค่าหุ้น) และยังเปิด API ของบริษัทเพื่อให้ทำงานกับ FinTech ได้ง่ายขึ้นด้วย
ที่มา – JPMorgan Chase
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา