เมื่อสองมหาอำนาจโลกอย่าง Joe Biden และ Xi Jinping ยกหูโทรหากัน พวกเขาใช้เวลาคุยกันยาวนานถึง 90 นาทีเมื่อคืนวันพฤหัสที่ผ่านมา เขาคุยอะไรกัน?
Xi Jinping ผู้นำจีนบอกอะไรกับผู้นำสหรัฐฯ
Xi Jinping บอกว่า จีนพยายามปรับนโยบายตามสหรัฐอเมริกาตลอดมา จีนพร้อมให้ความร่วมมือทั้งในเรื่องเศรษฐกิจโลกและสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงแต่ก็คิดว่าสิ่งที่จำเป็นก็คือการเคารพต่อหลักการที่แต่ละฝ่ายให้ความสำคัญต่อกัน
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ถ้า Xi Jinping มาแนวนี้ก็คือการดีลกับประเทศอื่นโดยให้ประเทศนั้นๆ เคารพซึ่งหลักการที่จีนยึดถือแบบที่เคยเป็นมา เช่น หลักการจีนเดียวไปจนถึงไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน ถ้าย้อนกลับไปนับตั้งแต่ Biden ขึ้นมา เราจะเห็นว่า Biden มีท่าทีย้อนกลับนโยบายจีนทั้งหมด ทั้งเรื่องการต้องการตรวจความโปร่งใสและที่มาของโควิดระบาดในจีน การละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง ประเด็นความมั่นคงในฮ่องกง ไต้หวัน ทะเลจีนใต้ ไปจนถึงเรื่องโจรกรรมไซเบอร์ ฯลฯ ที่ Biden พร้อมต่อกรกับจีนเรื่อยมา
Xi ย้ำว่า ทั้งสองประเทศจำเป็นที่จะต้องทำให้ความสัมพันธ์กลับมาปกติ หรือเรียกว่าทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายเข้าร่องเข้ารอยเสียที สิ่งนี้ Xi พยายามจะสะท้อนให้เห็นว่าการมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองฝ่ายนั้นสำคัญและจำเป็นหลังจากที่ความสัมพันธ์ย่ำแย่และเสื่อมโทรมที่สุดในช่วงที่ Donald Trump ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
โลกระส่ำระสายจากความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย ทั้งการปะทะระหว่างกันจนนำไปสู่สงครามการค้าที่ทำให้เกิดการขึ้นภาษีการค้าโต้กลับกันไปมา ไปจนถึงการโจมตีกันหลายต่อหลายเรื่องก่อนหน้านี้ ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นตรงกันว่า การสื่อสารกันแบบปกติระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศจะช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นได้ ส่วนการประชุม G20 ที่จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคม ที่จะจัดขึ้นที่โรม อิตาลีนั้น Xi ยังไม่ยืนยันว่าจะเข้าร่วมประชุมหรือไม่ อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้กลุ่ม G7 ก็รวมตัวผลักดันนโยบายต้านจีนอย่างชัดเจนมาก่อนหน้า
Joe Biden ก็หาทางสานสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับ Xi Jinping
เป้าหมายของ Biden คือการทำให้ความสัมพันธ์กับ Xi Jinping ดีขึ้นจนสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดความร่วมมือได้ทั้งสองฝ่าย โดย Biden เองก็พยายามอธิบายถึงเจตนาแต่ละการกระทำที่สหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีต่อจีนไป ซึ่งเป็นไปได้ว่าจีนอาจจะตีความผิดและเข้าใจว่าการกระทำดังกล่าวส่งผลให้ความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายแย่ลง
สหรัฐฯ พยายามจะทบทวนนโยบายที่มีต่อจีนทั้งหมด รวมถึงประเด็นเรื่องการขึ้นภาษีสินค้าจีนราว 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยทรัมป์และส่งผลให้การนำเข้าและความตกลงทางการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายค่อนข้างมีปัญหา ทั้งนี้ ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่ทาง John Kerry ได้หารือกับ Wang Yi รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ด้าน Wang Yi ก็เคยกล่าวไว้ว่าสหรัฐฯ ควรจะดำเนินนโยบายที่แบ่งรับแบ่งสู้กับทางจีน เพื่อที่จะผลักดันท่าทีเชิงบวกและทำให้ความสัมพันธ์กลับคืนสู่สถานะปกติได้
ถ้ามองย้อนกลับไป อาจเรียกได้ว่าทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างมีประเด็นที่แย้งและสวนทางกันตลอดเวลา ทั้งอุดมการณ์และหลักการที่แตกต่างกันแต่ก็ไม่ได้ขัดแย้งกันรุนแรงมากเท่าสมัยทรัมป์เป็นผู้นำประเทศ แม้แต่ประเด็นอัฟกานิสถานที่สหรัฐฯ ถอนทหารออกจากประเทศก็ยังมีจุดยืนที่แย้งกัน สหรัฐฯ เองก็อยากให้จีนร่วมกันกดดันอัฟกานิสถาน ขณะที่จีนเองก็อ้างว่าอยากให้สหรัฐฯ ยังคงบทบาทเพื่อเกี่ยวพันกับอัฟกานิสถานอยู่ เพื่อช่วยให้อัฟกานิสถานมีเสถียรภาพและต่อสู้กับการก่อการร้ายและความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อไป
สรุป
การเจรจาทางไกลระหว่าง Xi Jinping และ Joe Biden นี้ อย่างน้อยก็ช่วยฟื้นฟูบรรยากาศสานสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายที่เริ่มดีขึ้น แม้เราจะเห็นว่าประเด็นแต่ละเรื่องที่หยิบยกมานั้น โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง การเมืองระหว่างประเทศ ประเด็นสิทธิมนุษยชนต่างๆ เหล่านี้ ทั้งสองฝ่ายมีท่าทีและจุดยืนที่แตกต่างกันตลอดเวลา จึงเป็นไปได้ยากที่จะคาดหวังให้ดำเนินนโยบายไปในแนวทางเดียวกันได้ เว้นแต่จะคงความร่วมมือที่สานประโยชน์ทั้งสองฝ่ายได้โดยที่โลกไม่เดือดร้อนไปด้วยเช่นที่เคยเป็นมา
เราจะเห็นว่าสงครามการค้าที่มีการแข่งขันกันขึ้นภาษีโต้กลับกันไปมาในสมัยที่ทรัมป์เป็นผู้นำประเทศ โลกสั่นสะเทือนจากนโยบายดังกล่าวค่อนข้างมาก ทำให้หลายบริษัทต้องทบทวนฐานการผลิตใหม่ ต้องย้ายบริษัทเพื่อไปทำมาหากินอยู่ในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีโต้กันของทั้งสองฝ่ายในอัตราที่น้อยลงหรือไม่ได้อยู่ในพื้นที่สมรภูมิรบทำให้อัตราภาษีมากไปกว่าเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงการแบกรับต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้น การหันหน้ามาเจรจากันไม่เพียงแต่สร้างบรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลากมิติให้ดีขึ้น อาจช่วยทำให้ทั้งสองฝ่ายหันมาแก้ปัญหาร่วมกันมากขึ้นได้
ที่มา – Bloomberg, Wall Street Journal, South China Morning Post
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา