สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นเหมือนคลื่นลูกใหญ่ที่ถาโถมพัดเข้าสู่อุตสาหกรรม และการทำธุรกิจต่างๆ โดยแทบไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า สร้างความเสียหลายอย่างหนักให้กับคนทุกฝ่าย
แต่ความจริงแล้วสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบในแง่ลบกับคนทุกฝ่ายอย่างเดียว เพราะมหาเศรษฐีหลายๆ คน จับจุดในการทำธุรกิจซึ่งมีโอกาสเติบโตได้ดีในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่นนี้ โดยเฉพาะ Jeff Bezos มหาเศรษฐีซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Amazon บริษัท E-Commerce ชื่อดังระดับโลก
ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Jeff Bezos มีมูลค่าทรัพย์สินรวมเพิ่มขึ้นกว่า 23% จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เขาอาจกลายเป็นมหาเศรษฐีคนแรกที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมในระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 32 ล้านล้านบาท ซึ่งในความจริงแล้วเขาอาจยังไม่ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีล้านล้านดอลลาร์ในเร็วๆ นี้ เพราะปัจจุบันเขามีทรัพย์สินรวมอยู่ที่ 1.44 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.6 ล้านล้านบาท
การเป็นเศรษฐีระดับล้านล้านดอลลาร์ของ Jeff Bezos ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเขาถือหุ้นกว่า 11% ใน Amazon และ Amazon ก็ดูเหมือนว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดีในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา Amazon สามารถทำยอดขายไปได้แล้วกว่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 1 ใน 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
แม้ว่าในช่วงแรก Amazon คาดการณ์ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และอาจทำให้ผลกำไรของบริษัทลดลง แต่ความจริงแล้วสถานการณ์โควิด-19 กลับทำให้ Amazon สร้างยอดขายจากธุรกิจ E-Commerce และระบบ Cloud Computing ได้อย่างมหาศาล
โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่ Amazon เป็นผู้เล่นรายใหญ่ในวงการ E-Commerce โดยมีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 39% ตามด้วย Walmart ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 5% เท่านั้น
จากความสำเร็จในการทำธุรกิจของ Amazon สร้างความกังวลให้กับนักการเมืองในสหรัฐฯ หลายคน เพราะที่ผ่านมาแม้จะมีบริษัทที่สามารถทำมูลค่าได้สูงเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปได้แล้ว อย่าง Apple แต่ก็เป็นมูลค่ารวมของกิจการทั้งบริษัท ไม่ใช่มูลค่าทรัพย์สินรวมของคนๆ เดียวอย่างที่ Jeff Bezos อาจทำได้ในเร็วๆ นี้
ที่มา – Financial Time
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา