เซเลบริตี้เชฟชื่อดัง เจมี่ โอลิเวอร์ (Jamie Oliver) เพิ่งมาเปิดร้าน Jamie’s Italian ในประเทศไทยได้ไม่นาน แต่เขาก็เพิ่งยอมรับในการให้สัมภาษณ์กับ Financial Times ว่าธุรกิจของเขาเกือบเจ๊งไปแล้วในปี 2017 และรอดมาได้เพราะเขานำเงินส่วนตัวมาอัดฉีดใส่เข้าไป
เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกันยายน 2017 ขณะที่ Jamie กำลังถ่ายซีรีส์ Friday Night Feast ทาง Channel 4 ของอังกฤษ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น และเขาต้องสั่งหยุดพักการถ่ายทำชั่วคราวเพื่อมากู้วิกฤตร้านอาหาร
Jamie’s Italian เป็นเชนร้านอาหารอิตาเลียนที่ Jamie Oliver ก่อตั้งในปี 2008 และขยายกิจการกว้างไกลถึง 43 สาขาทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายที่ Jamie ได้รับในตอนนั้นคือ Jamie’s Italian กำลังขาดเงินสดอย่างหนัก และกำลังจะล้มละลาย
ทางออกเดียวในตอนนั้นคือ เขาต้องควักเงินส่วนตัว 12.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 540 ล้านบาท) เพื่อพยุงกิจการ เงินจำนวนนี้อาจไม่มากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทั้งหมดของเขาที่มูลค่าประมาณ 150 ล้านปอนด์ แต่ความเจ็บปวดจากธุรกิจที่ต้องปิดร้าน 12 สาขาและเลย์ออฟพนักงานกว่าหกร้อยคน ก็ทำให้ปี 2017 เป็นปีที่เลวร้ายของเขา
Jamie เล่าผ่านบทสัมภาษณ์ว่า ความล้มเหลวทางธุรกิจเป็นเรื่องปกติ และในอดีตธุรกิจประมาณ 40% ของเขาก็ไม่รอด แต่ปัญหาของ Jamie’s Italian รุนแรงกว่านั้นมาก ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังไม่รู้ชัดว่าสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไร อาจเป็นปัจจัยหลายอย่างผสมกัน ทั้งค่าเช่าที่ ค่าจ้างพนักงาน ดอกเบี้ย ต้นทุนวัตถุ ขาขึ้น บวกกับเศรษฐกิจขาลง
หลายฝ่ายชี้ว่าต้นตอของปัญหาคือ Paul Hunt พี่เขยของเขาที่มารับตำแหน่งซีอีโอของ Jamie Oliver Group ในปี 2015 ที่บริหารงานผิดพลาดหลายอย่าง ปัจจุบัน Paul ลาออกจากตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว
Jamie ยอมรับว่าเร่งขยายสาขามากเกินไป เร็วเกินไป และตั้งสาขาในทำเลที่ไม่เหมาะสม ทำให้ธุรกิจขาดทุนจากค่าเช่าที่สูงและรายรับที่ไม่เป็นไปตามเป้า อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ยอมแพ้ และประกาศจะสร้างอาณาจักรอาหารของเขาขึ้นมาใหม่ จากบทเรียนอันเจ็บปวดที่เพิ่งเรียนรู้มา
ที่มา – Financial Times, The Independent
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา