อิสราเอลปลดล็อคมาตรการล็อคดาวน์ หลังประสบความสำเร็จจากการฉีดวัคซีน

ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามสำหรับประเทศอิสราเอลที่มีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 อย่างเต็มที่ ล่าสุด อิสราเอลเริ่มลดมาตรการล็อคดาวน์ประเทศลงบ้างแล้ว โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทั้งร้านรวงต่างๆ ห้องสมุด และพิพิธภัณฑ์สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้อีก แต่ยังคงมาตรการเว้นระยะห่างจากสังคมและใช้หน้ากากปกคลุมใบหน้าต่อไป 

อิสราเอล Israel
Photo by Taylor Brandon on Unsplash

ด้านกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า นี่คือขั้นตอนแรกสำหรับการกลับเข้าสู่วิถีชีวิตปกติ อิสราเอลมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุดในโลก มากกว่า 49% ของจำนวนประชากรได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 แล้วอย่างน้อย 1 โดส หลังจากที่ก่อนหน้านี้อิสราเอลเพิ่งจะเข้าสู่มาตรการล็อคดาวน์ประเทศระลอกที่ 3 เมื่อช่วงวันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมาหลังจากมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น 

หลังจากนี้ เมื่อมีการลดมาตรการล็อคดาวน์ลง ผู้คนจะสามารถเข้าไปชอปปิงได้ตามห้างสรรพสินค้าและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ ยิมสำหรับออกกำลังกาย โรงแรม สุเหร่า (สถานที่สำหรับเข้าร่วมพิธีทางศาสนาของชาวยิว) 

อีเวนท์ด้านกีฬาหรือคอนเสิร์ตจะให้มีความหนาแน่นของผู้เข้าชมได้เพียง 75%  ต้องมีจำนวนไม่มากกว่า 300 คนภายในอีเวนท์นั้นๆ และต้องไม่เกิน 500 คนภายนอกอีเวนท์ ส่วนสนามบินยังปิดต่อไปอีกราว 2 สัปดาห์ ขณะที่ร้านอาหารและบาร์จะเปิดให้ใช้บริการได้ช่วงต้นเดือนมีนาคม 

แม้จะเริ่มมีการลดมาตรการล็อคดาวน์แล้ว แต่ก็ยังมีการเรียกดูพาสปอร์ตเขียว เพื่อเป็นหนังสือรับรองว่าได้มีการรับวัคซีนแล้ว โดยประชากรชาวอิสราเอลเกือบ 50% ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว พวกเขาจะได้รับพาสปอร์ตเขียวภายใน 1 สัปดาห์หลังจากได้รับวัคซีนโดสที่สอง 

PM Benjamin Netanyahu, Israel
เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐนตรีอิสราเอล

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า จากผลการศึกษาพบว่า ความเสี่ยงจากการป่วยจากการติดเชื้อโควิดนี้ลดลงราว 95.8% สำหรับคนที่ได้รับวัคซีนสองโดสจากบริษัท Pfizer และพบว่า วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพป้องกันการเกิดไข้หรือมีปัญหาทางเดินหายใจได้มากถึง 98% ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู คาดหวังว่าชาวอิสราเอลราว 95% ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปจะได้รับวัคซีนในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า 

ด้านปาเลสไตน์นั้นยังคงรอวัคซีนต่อไป ขณะที่กลุ่มที่อยู่ในบริเวณฉนวนกาซาก็เริ่มได้รับวัคซีนโดสแรกจากอิสราเอลบ้างแล้ว 

ที่มา – BBC, The Guardian 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา