ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงสองถึงสามเดือนที่ผ่านมา ทำให้คนจำนวนมากต้องทำงานที่บ้านไปพร้อมกับการทำอาหาร ดูแลลูกที่ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ งานบ้านจากที่เคยต้องทำอยู่แล้ว กลายเป็นภาระที่หนักมากขึ้น
จากพฤติกรรมการอยู่แต่ในบ้านของคนส่วนใหญ่ทั่วโลกในช่วงนี้ทำให้หุ้นของ iRobot ผู้ผลิตหุ่นยนต์ดูดฝุ่นรายใหญ่ของโลก ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่า 75% ในช่วงเวลาเพียง 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากคนส่วนใหญ่มองว่าการซื้อหุ่นยนต์ดูดฝุ่นมาใช้งาน เป็นเหมือนการลงทุนภายในบ้าน
Colin Angle ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ iRobot มองว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มองเห็นกระแสนิยม ซึ่งจะส่งผลในเชิงบวกกับบริษัท โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่คนส่วนใหญ่จำเป็นต้องอยู่บ้าน แต่กลับมีเวลาน้อยลงเพราะบางคนอาจต้องเลี้ยงดูลูกๆ ไปพร้อมกับการทำงาน คนเหล่านี้จึงต้องการที่จะมีผู้ช่วย เป็นเหมือนการลงทุนภายในบ้านอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่า iRobot จะไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ของโรคโควิด-19 เลย เพราะความจริงแล้ว ร้านค้าและหน้าร้านที่ขายสินค้า iRobot ก็ไม่สามารถเปิดร้านเพื่อขายสินค้าได้ รวมถึงฐานการผลิตของ iRobot ก็อยู่ที่ประเทศจีน แน่นอนว่าก็ต้องได้รับผลกระทบไปด้วย
ยอดขายในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อยู่ที่ 192.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6 พันล้านบาท โดยหากดูรายละเอียดของยอดขายในพื้นที่สำคัญๆ จะพบว่ายอดขายในสหรัฐฯ ลดลง 28% ญี่ปุ่นลดลง 14% และในยุโรปลดลง 11% ทำให้ iRobot ขาดทุน 14.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 448.8 ล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วที่ได้กำไร 33.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1 พันล้านบาท
ส่วนในอนาคต iRobot ก็ไม่ได้มีแผนเพียงแค่พัฒนาหุ่ยนต์ดูดฝุ่นรุ่นใหม่ๆ เท่านั้น เพราะบริษัทยังสนใจที่จะพัฒนาหุ่นยนต์ตัดหญ้าอัตโนมัติอีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นกันในช่วงปี 2021
ที่มา – Yahoo Finance
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา