ยอดจอง iPhone 13 ในไทย ยังทำได้ดีเมื่อเทียบกับ iPhone 12 มี iPhone 13 Pro Max ความจุ 256 GB กระแสดีที่สุด มีบางรุ่นบางสีเริ่มของไม่พอ ด้าน COM7 เชื่อ ขายเร็วขึ้น 2 เดือน ทำรายได้โต 15-20% ตามเป้า
iPhone 13 ยอดขายในไทยยังไปได้
แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม แจ้งว่า ยอดจอง iPhone 13 ในประเทศไทย มีจำนวนใกล้เคียงกับยอดจอง iPhone 12 เมื่อปี 2020 โดยยอดจองกว่าครึ่งหนึ่งของ iPhone 13 ทั้งหมดคือรุ่น iPhone 13 Pro Max ความจุ 256 GB ราคาขายปลีก 46,900 บาท และ Sierra Blue คือสีที่ได้รับความนิยมที่สุด
หากเจาะไปที่ iPhone 13 จะพบว่า Pink คือสีที่ได้รับความนิยมที่สุด ในรุ่น iPhone 13 mini ส่วน iPhone 13 สี Pink กับ Sierra Blue ได้รับความสนใจใกล้เคียงกัน ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้ iPhone 13 บางรุ่นไม่เพียงพอต่อความต้องการ แม้ iPhone 13 จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของตัวเครื่องมาก และภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ในทางกลับกัน iPhone 12 ยังสามารถจำหน่ายได้ต่อเนื่อง ไม่มีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการสินค้า แม้เป็นรุ่นแรกที่ Apple วางจำหน่ายถึง 4 รุ่นย่อย และนับตั้งแต่จำหน่าย iPhone 12 Pro Max ความจุ 128 GB จำหน่ายได้ดีที่สุด รองลงมาเป็น iPhone 12 ความจุ 128 GB คาดว่า iPhone 13 จะมีแนวโน้มระยะยาวคล้ายกัน
COM7 ชี้ ยิ่งขายเร็ว รายได้บันทึกได้เร็ว
สุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. คอมเซเว่น หรือ COM7 เล่าให้ฟังว่า กระแสตอบรับของ iPhone 13 ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ และการที่ Apple เปิดให้จำหน่าย iPhone 13 ในไทยวันที่ 8 ต.ค. 2021 เร็วกว่า iPhone 12 ที่ขายช่วงปลายเดือน ธ.ค. 2020 ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ได้เร็วขึ้น
“มองว่าเรื่องกล้องคือปัจจัยหลักที่ทำให้ลูกค้าซื้อ iPhone 13 โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ iPhone 11 ลงไปจะเป็นกลุ่มหลักในการเปลี่ยนเครื่อง ส่วนฝั่ง COM7 ปกติการรับรู้รายได้ของ iPhone จะเริ่มต้นในช่วงไตรมาส 1 ของทุกปี แต่ปีนี้จะรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 4 เพราะ Apple ขยับเวลาขายให้เร็วขึ้นในไทย”
ทุกไตรมาส 4 ยอดขาย COM7 จะเติบโตมากที่สุด และคาดว่าไตรมาส 4 ปี 2021 จะมียอดขายดีที่สุดตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา ส่งผลให้ภาพรวมยอดขายเติบโตตามเป้า 15-20% จากปีก่อนที่รายได้ปิด 37,352 ล้านบาท โดยช่วง 6 เดือนแรกปี 2021 บริษัททำกำไร 1,100 ล้านบาท
พลิกโฉมธุรกิจสู่การมียอดขายหลักจากมือถือ
ตั้งแต่เริ่มต้นกิจการ COM7 มียอดขายหลักจาก คอมพิวเตอร์ แต่ปัจจุบันยอดขายจากโทรศัพท์มือถือคิดเป็น 50% ของบริษัท แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงขององค์กร นอกจากนี้ COM7 เริ่มจำหน่ายสินค้าอื่น ๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก กับโทรทัศน์ เพื่อขยายโอกาสในการสร้างยอดขาย
“แม้ไตรมาส 3 เราจะถูกปิดไปเดือนครึ่ง แต่ด้วยการเพิ่มสัดส่วนสินค้า และเพิ่มช่องทางการขายสินค้า เช่น การเข้าไปบริหารพื้นที่ใน Index Living Mall และการเปิด Pop-up Store ทำให้ COM7 ยังประคองยอดขายได้ ไม่ขาดทุน และยังมีกำไรอย่างเห็นได้ชัด”
สิ้นปี 2021 COM7 จะมีหน้าร้านทั้งหมด 1,000 สาขา โดยในไตรมาส 4 จะเปิดเพิ่มอีก 50 สาขา มีทั้งการเปิดใหม่ และการปรับหน้าร้าน Pop-up Store เป็นสาขาถาวร ส่วนในปี 2022 จะเปิดสาขากลุ่ม Standalone มากขึ้น และจะเปิดสาขาใหม่จนกว่าจะครบ 1,500 แห่ง เพื่อครอบคลุมทุกพื้นที่ที่ต้องการในไทย
เดินหน้าเพิ่มยอดขายฝั่งออนไลน์
ในทางกลับกัน COM7 เดินหน้าพัฒนาช่องทางออนไลน์ให้แข็งแกร่ง โดยปัจจุบันยอดขายออนไลน์คิดเป็นสัดส่วน 6% จากรายได้รวม โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มเป็น 10% ในปี 2022 ผ่านการเพิ่มสินค้าให้หลากหลาย และเป็นเบอร์หนึ่งการจำหน่ายสินค้าไอที และเครื่องใช้ไฟฟ้าบนโลกออนไลน์
“แม้ออนไลน์จะเติบโตหลายร้อยเปอร์เซนต์ แต่ยังเป็นสัดส่วนรายได้ที่ค่อนข้างน้อย ซึ่ง COM7 ต้องการให้มากกว่านี้ ถือเป็นการปรับตัวเรื่องช่องทางการจำหน่าย เหมือนกับที่เราปรับตัวในมุมอื่น เช่นการขายสินค้าที่มากกว่าสินค้าไอที ยิ่งตอนนี้ปัญหาเรื่องชิปขาดตลาด และโรงงานผลิตได้ไม่เต็มที่ การปรับตัวไปมุมอื่น ๆ ก็ยิ่งจำเป็น”
สำหรับมาตรการของภาครัฐ COM7 มองว่า หากภาครัฐออกมาตรการสนับสนุนเหมือนกับปีก่อนหน้านี้ เช่น สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี ย่อมเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท เพราะสินค้าไอที และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ คือสินค้าที่ผู้บริโภคนิยมซื้อในมาตรการดังกล่าว
สรุป
iPhone 13 พิสูจน์แล้วว่ายังเป็นที่ต้องการของตลาด แม้จะเปลี่ยนแปลงค่อนข้างน้อย ส่วนฝั่ง COM7 หนึ่งในผู้ขาย iPhone 13 ย่อมได้รับประโยชน์จากความนิยม และการเลื่อนเข้ามาขายเร็วขึ้น ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าผู้ค้ารายอื่น ทั้งโอเปอเรเตอร์ และค้าปลีกไอทีจะได้รับประโยชน์จากปัจจัยดังกล่าวเช่นกัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา