“เด็กไทยเกิดใหม่น้อยลง” ประโยคที่หลายคนคงเบื่อ เพราะเห็นมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังเป็นความจริงที่กระทบสังคมอยู่
โดยเฉพาะใครก็ตามที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษา คงเครียดไม่น้อย เพราะตัวเลขนักเรียนไทยลดลงต่อเนื่องมาตลอดกว่า 10 ปี โดยเฉพาะในปีการศึกษา 2567 ที่ KResearch ระบุว่า จำนวนโรงเรียนในไทยลดลงจากปีการศึกษาก่อนหน้ามากถึง 6.6% หรือหายไปกว่า 2,355 แห่ง
อย่างไรก็ตาม ‘โรงเรียนนานาชาติ’ กลับขยายตัวสวนกระแส โดยตัวเลขในปีที่ผ่านมา พบว่าตลาดโรงเรียนนานาชาติมีมูลค่ามากกว่า 8 หมื่นล้านบาท และเติบโตถึง 13%
เพื่อทำความเข้าใจเบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ Brand Inside มีโอกาสพูดคุยกับ ‘ดร. ยุทธชัย ดำรงมณี’ ผู้อำนวยการโรงเรียนนานาชาติมิลล์ ฮิลล์ ประเทศไทย และ ‘อรรคเดช อุดมศิริธำรง’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อรสิริน เอ็ดดูเคชั่น เพื่อมองเทรนด์การศึกษาอินเตอร์ในไทย โดยเฉพาะใน ‘เชียงใหม่’ ที่กำลังบูม
การดูแล-ภาษาอังกฤษ เหตุผลหลักที่ผู้ปกครองเลือกโรงเรียนอินเตอร์
‘ยุทธชัย’ ให้ความเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรงเรียนนานาชาติเติบโตต่อเนื่อง คือความต้องการของผู้ปกครองที่อยากให้ลูกได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ปกครองที่มีกำลังจ่าย ซึ่งไม่ต้องการให้ลูกเรียนในห้องที่มีเด็กหลายสิบคนจน “ครูจำชื่อไม่ได้”
โรงเรียนนานาชาติจึงตอบโจทย์ด้วยระบบ ‘child care’ ที่ชัดเจน ครูรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล เข้าใจทั้งความชอบและปัญหา พร้อมคอยช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด
‘ยุทธชัย’ เสริมว่า แม้โรงเรียนนานาชาติจะไม่ได้หมายความว่าปลอดปัญหาทุกเรื่อง เพราะเด็กวัยรุ่นก็ยังมีความท้าทาย ทั้งการใช้โซเชียลมีเดีย หรือการอยากลองสิ่งใหม่ แต่สิ่งที่ต่างคือ “ครูมีจิตวิญญาณของความเป็นครู” ที่พร้อมจะเข้าไปดูแล ไม่ใช่แค่ยืนสอนหน้าชั้นเรียน
นอกจากนี้ สิ่งที่โรงเรียนนานาชาติโดดเด่นกว่า คือ ‘ภาษาอังกฤษ’ ที่เด็กจะได้ใช้จริงในทุกวิชา ต่างจาก ‘English Program’ ในโรงเรียนไทยที่ยังสอนบางวิชาเป็นภาษาไทย แม้จะระบุว่าหลักสูตรการสอนหลักๆ ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น วิชาสังคมศึกษา และพระพุทธศาสนาที่สอนเป็นภาษาไทย
ด้วยเหตุนี้ แม้จะเก็บค่าเทอมแพงกว่า ผู้ปกครองหลายคนจึงเลือกโรงเรียนนานาชาติ เพื่อให้ลูกได้ใช้ภาษาอังกฤษจริงทั้งวัน
แถมการศึกษาไทยสอนให้เด็ก ‘ท่องจำ’ มากกว่า ‘คิดวิเคราะห์’ ซึ่ง ‘ยุทธชัย’ มองว่าเป็นสิ่งที่การศึกษาไทยต้องเปลี่ยน เพราะโลกยุคนี้ต้องการคนที่คิดเป็น ไม่ใช่แค่จำได้ เพราะฉะนั้น ต้องสอนให้เด็ก ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ “คิดเองให้เป็น”
และในยุคที่ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทในห้องเรียนมากขึ้น ประเด็นเรื่อง “สอนให้เด็กคิดเองเป็น” ยิ่งสำคัญ Brand Inside จึงถาม ‘ยุทธชัย’ ต่อว่า แล้วการเข้ามาของ AI จะยิ่งทำให้เด็กคิดเป็นเองน้อยลงหรือไม่
‘ยุทธชัย’ ตอบว่า “ห้ามไม่ได้อยู่แล้ว โลกมันไปทางนั้น” สิ่งที่ครูต้องทำคือ ปรับรูปแบบการสอน ต้องเปลี่ยนเป็นคำถามเชิงวิเคราะห์ และให้เด็กแสดงวิธีคิด วิธีทำ เพื่อให้มั่นใจว่าเข้าใจจริง
ซึ่งเป็นความท้าทายที่ครูต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กับเทคโนโลยี แทนที่จะปฏิเสธหรือพยายามปิดกั้น
เศรษฐกิจซบ-เด็กเกิดน้อยไม่ใช่ปัญหา เพราะตลาดคือ ‘กลุ่มมีกำลังซื้อ’
หนึ่งในคำถามสำคัญคือ เมื่อจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงต่อเนื่อง โรงเรียนนานาชาติจะได้รับผลกระทบหรือไม่ ‘ยุทธชัย’ ตอบชัดเจนว่า “ไม่กระทบเลย”
เพราะผู้ปกครองที่เลือกโรงเรียนนานาชาติส่วนใหญ่ คือกลุ่มที่มีฐานะเพียงพออยู่แล้ว ถ้าตั้งงบประมาณไว้สัก 7 ล้านบาท ก็สามารถส่งลูกเรียนได้ตั้งแต่เนอร์สเซอรี (เตรียมอนุบาล) จนถึง Year 13 (มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6)
‘ยุทธชัย’ เสริมว่า สำหรับครอบครัวกลุ่มนี้ การลงทุนด้านการศึกษาถือเป็นเรื่องที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจระยะสั้น เพราะฉะนั้น ต่อให้สภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร พวกเขาเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว
ส่วนประเด็นที่หลายคนอาจกังวลว่า การเติบโตของโรงเรียนนานาชาติจะกระทบกับโรงเรียนเอกชนไทยหรือไม่ ‘ยุทธชัย’ มองว่าเป็น “คนละตลาด” กัน
“โรงเรียนนานาชาติเป็น ‘Education for Some’ ไม่ใช่ ‘Education for All’ ลูกค้าคนละกลุ่มกัน อย่างตอนที่ ‘โรงเรียนมิลล์ ฮิลล์’ เปิดตัว ก็ไม่เคยมีผู้ปกครองจากโรงเรียนเอกชนไทยย้ายเข้ามาเลย แต่กลับเป็นครอบครัวที่ย้ายมาจากโรงเรียนนานาชาติในจังหวัดอื่น เช่น กรุงเทพ ภูเก็ต หรือเชียงใหม่มากกว่า”
นั่นหมายความว่า การแข่งขันจริงๆ ของโรงเรียนนานาชาติไม่ได้อยู่ที่การแย่งนักเรียนจากโรงเรียนไทย แต่คือการสร้างความแตกต่างระหว่างโรงเรียนนานาชาติด้วยกันเอง
หลักสูตรอังกฤษกำลังมาแรงกว่าอเมริกัน
การแข่งขันโรงเรียนนานาชาติในไทยดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ตามที่ KResearch ระบุว่า ตลาดนี้เติบโตเฉลี่ยปีละ 5% ตั้งแต่ปี 2555 สวนทางกับโรงเรียนไทยที่ลดลงเฉลี่ยปีละ 0.6-0.7%
ทำให้ ‘หลักสูตร’ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้ปกครองใช้ตัดสินใจ โดย ‘ยุทธชัย’ ชี้ให้เห็นความต่างระหว่างหลักสูตรอเมริกัน และอังกฤษ ดังนี้
หลักสูตร ‘อเมริกัน’ มีความหลากหลายกว่า เพราะแต่ละรัฐกำหนดเอง ทำให้เกิดความสับสน เช่น โรงเรียนนานาชาติบางแห่งในไทยใช้หลักสูตรวิชา ‘คณิตศาสตร์’ จากรัฐซีแอตเทิล ขณะที่อีกโรงเรียนใช้ของรัฐฟลอริดา เมื่อเด็กย้ายโรงเรียนอาจเกิดความสับสน และมีผลลัพธ์ด้านการเรียนที่ต่างกันทันที
สุดท้ายหลายโรงเรียนต้องนำเนื้อหาจากหลายๆ รัฐมาผสมกัน เพื่อให้เด็กมีความพร้อมสำหรับการสอบ Advanced Placement (AP) หรือ SAT ที่ใช้สำหรับเรียนต่อในระดับปริญญาตรี
ในทางกลับกัน ‘ยุทธชัย’ อธิบายว่า หลักสูตร ‘อังกฤษ’ มี “แกนกลางชัดเจน” ใช้เหมือนกันทั้งประเทศ ซึ่งเหมือนกับประเทศไทย และนักเรียนต้องสอบ A-level หรือ IGCSE เพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้ผู้ปกครองมั่นใจมากกว่า
“พูดตรงๆ เทรนด์อังกฤษกำลังแซงอเมริกัน เพราะมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง ไม่ค่อยรับคะแนน SAT แล้ว”
‘เชียงใหม่’ บูมต่อ เพราะสิ่งเร้าน้อยกว่ากรุงเทพ
ก่อนหน้านี้ KResearch บอกว่า โรงเรียนนานาชาติกำลังค่อยๆ ขยายออกจาก ‘กรุงเทพ’ มากขึ้น ดูได้จากอัตราการเติบโตที่สูงกว่าในกรุงเทพแล้ว ซึ่ง ‘อรรคเดช’ บอกว่า ‘เชียงใหม่’ กำลังกลายเป็นจุดหมายสำคัญ
แม้เชียงใหม่มีโรงเรียนนานาชาติราว 25 แห่ง ซึ่งอยู่อันดับสองรองจากกรุงเทพ แต่ ‘อรรคเดช’ อธิบายว่า ผู้ปกครองหลายคนย้ายออกจากเมืองหลวง เพราะปัญหารถติด และค่าครองชีพสูง เชียงใหม่จึงตอบโจทย์ ทั้งคุณภาพชีวิตและค่าใช้จ่าย
เขายังเชื่อว่า ธุรกิจการศึกษาในเชียงใหม่ยังมีศักยภาพสูง เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยว และศูนย์กลางเศรษฐกิจที่มีครอบครัวชาวต่างชาติ และคนไทยกำลังซื้อสูงอาศัยอยู่จำนวนมาก
ด้าน ‘ยุทธชัย’ เสริมว่า เชียงใหม่มีข้อได้เปรียบเรื่องสิ่งแวดล้อมที่สงบกว่า เนื่องจากมี ‘สิ่งเร้า’ น้อยกว่า ทำให้เด็กมีสมาธิเรียนมากกว่า ต่างจากกรุงเทพที่มีสิ่งล่อใจเยอะ
สรุป: โรงเรียนนานาชาติยังโตต่อ แม้สังคมเด็กน้อยลง
จากข้อมูลและมุมมองของผู้บริหาร สะท้อนชัดว่า ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง แม้จำนวนเด็กเกิดใหม่จะลดลง และโรงเรียนหลักสูตรไทยจะทยอยปิดตัว แต่ตลาดกลุ่มผู้ปกครองที่มีกำลังซื้อยังคงแข็งแรง
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรงเรียนนานาชาติแตกต่างคือ การดูแลที่ใกล้ชิด ภาษาอังกฤษที่ใช้จริง หลักสูตรสากลที่ได้มาตรฐาน และคุณภาพชีวิตที่ตอบโจทย์ครอบครัว
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมโรงเรียนนานาชาติในไทยยังคง “บูม” อย่างต่อเนื่อง และอาจเติบโตยิ่งขึ้นในอนาคต
- เด็กไทยเกิดน้อย จนโรงเรียนรัฐ-โรงเรียนเอกชนทยอยปิด แต่โรงเรียนนานาชาติกลับโตพุ่ง เพราะพ่อแม่กำลังจ่ายสูงเพิ่ม-ชอบหลักสูตรนานาชาติมากกว่า
- คนมีตังค์ชอบส่งลูกเรียนอินเตอร์ หลักสูตรดีกว่า-ได้สถานะสังคม ธุรกิจ รร.นานาชาติโตพุ่ง จนทุนต่างชาติแห่มาเปิด
ที่มา: โรงเรียนนานาชาติมิลล์ ฮิลล์ ประเทศไทย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา