ที่ผ่านมา Instagram แพลตฟอร์มที่เน้นการโพสต์รูปภาพ และคลิปวิดีโอสั้นๆ ซึ่งอยู่ในเครือ Facebook มาตั้งแต่ปี 2012 กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากเมื่อมีคู่แข่งที่น่ากลัวอย่าง TikTok แพลตฟอร์มโพสต์คลิปวิดีโอสั้นๆ ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าในปัจจุบัน Instagram จะมีผู้ใช้งานเป็นประจำมากกว่า TikTok คือราว 1,000 ล้านคน ในขณะที่ TikTok มีผู้ใช้งานราว 800 ล้านคน แต่ก็ต้องยอมรับว่า TikTok เป็นแพลตฟอร์ม Social Media ที่มาแรง และสามารถสร้างฐานผู้ใช้งานจำนวนมากในเวลาไม่กี่ปี ด้วยลักษณะคอนเทนต์ที่เป็นคลิปวิดีโอสั้นๆ จนผู้บริหารของ Instagram ยอมรับด้วยตัวเองว่า TikTok เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่บริษัทเคยเห็นมา
TikTok คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของ Instagram
Adam Mosseri ผู้บริหารของ Instagram เล่าว่า TikTok เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ Instagram อาจจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่บริษัทเคยเจอมาด้วยซ้ำ โดย Mosseri ยกเหตุผลว่า TikTok มีความมุ่งมั่น มีความโฟกัส และผลลัพธ์ที่ออกมาก็ทำได้ดีเช่นกัน
Mosseri ยังเล่าด้วยว่า TikTok เลียนแบบแฟลตฟอร์มที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน คือ Musical.ly ซึ่ง TikTok ก็ประสบความสำเร็จจนถึงขั้นสามารถเข้าซื้อ Musical.ly ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ตัวเองเคยเลียนแบบได้ โดย TikTok เป็นผู้ที่ทำให้คอนเทนต์คลิปวิดีโอสั้นๆ สามารถเกิดขึ้นจริงได้
อย่างไรก็ตามการที่ผู้บริหารของ Instagram ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า TikTok เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่บริษัทเคยเห็นมา เป็นเพราะก่อนหน้านี้ Instagram กำลังโดนโจมตีอย่างหนักด้วยข้อหาการผูกขาด Social Media เพราะ Instagram เป็นบริษัทในเครือของ Facebook ที่ Facebook ซื้อมาในราคา 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 30,000 ล้านบาท เมื่อปี 2012
ซึ่ง Mosseri เล่าว่า Instagram ต้องใช้ความพยายามในหลายๆ ทาง เพื่อแข่งขันกับ TikTok โดยเฉพาะการสร้างฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อดึงดูดให้บรรดา Content Creator ทั้งหลายเข้ามาใช้งาน
หนึ่งในการสร้างฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อแข่งขันกับ TikTok คือ ฟีเจอร์ Reel ที่มีลักษณะเป็นคอนเทนต์คลิปวิดีโอสั้นๆ เช่นเดียวกันกับ TikTok ซึ่ง Reel นี้มีความพิเศษคือผู้ใช้งานสามารถแท็กสินค้าที่ขายในคลิปวิดีโอสั้นได้เลย รวมถึงผู้ชมก็สามารถกดดูสินค้า และเลือกที่จะบันทึกเก็บไว้เพื่อซื้อในภายหลังได้
Reel นับว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ Facebook ที่จะสร้างรายใหม่ๆ จาก e-Commerce ในระยะยาว โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมจากการทำรายการ
ที่มา – cnbc
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา