ชาวไร่ชาวนาในภาวะเงินเฟ้อ: สินค้าเกษตร-อาหารแพงขึ้น แต่ทำไมรายได้ถึงตกต่ำกว่าเก่า?

ไขข้อสงสัยผ่านรายงานของ KKP Research เงินเฟ้อพุ่ง สินค้าเกษตร-อาหารแพง แต่ทำไมชาวไร่ชาวนาที่เป็นประชากร 1 ใน 3 ของไทย กลับมีรายได้ตกต่ำกว่าเก่า

เงินเฟ้อคือประเด็นที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ เพราะนอกจากจะมีข่าวออกมาเป็นระยะว่าเงินเฟ้อทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบสิบกว่าปีอย่างต่อเนื่องแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทุกคนสามารถสัมผัสถึงเงินเฟ้อได้จริงในชีวิตประจำวันที่สินค้าและบริการหลายอย่างแพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นพลังงานหรืออาหาร

คำถามที่น่าสนใจคือ ราคาอาหารแพงขึ้น แล้วคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งของไทยอย่างชาวไร่ชาวนามีกำไรเพิ่มขึ้นหรือไม่? ในเรื่องนี้ KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ออกรายงานและให้คำตอบเรื่องนี้เอาไว้ชัดเจนเอาไว้ว่า ‘ไม่’

ส่วนสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไรนั้น Brand Inside จะพาทุกท่านไปหาสาเหตุของเรื่องนี้ไปพร้อมๆ กันในบทความนี้

ต้นทุนปุ๋ยแพง คือสาเหตุ

KKP Research อธิบายว่า แม้สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้พลังงานและอาหารทั่วโลกแพงขึ้นจากการขาดแคลน แต่ปัจจัยสำคัญอย่าง ‘ราคาปุ๋ยที่พุ่งทะยาน’ แพงขึ้นเกือบ 3 เท่า ก็ทำให้กำไรสุทธิของเกษตรกรไทยดีขึ้นได้ไม่เต็มที่หรือไปจนถึงขั้นแย่จนขาดทุนหนักในบางกลุ่ม

ปลูกข้าว ชาวนา ไทย rice
Photo by Dennis Rochel on Unsplash

ถ้ามองแค่ในแง่ของรายได้อย่างเดียว ยังไม่มองต้นทุน KKP Research คาดว่ารายได้ของเกษตรกรโดยรวมจะเพิ่มขึ้น 19.3% มาอยู่ระดับ 970,000 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 8 ปี โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในสินค้าเกษตรทุกประเภทยกเว้นข้าว 

เพราะแม้ว่าราคาสินค้าเกษตรส่วนใหญ่จะปรับขึ้นตามราคาพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แต่ราคาข้าวคาดว่าราคาจะยังตกต่ำในปีนี้ด้วย 2 เหตุผล

  1. ผลผลิตที่ดีกว่าที่คาดจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในหลายประเทศ
  2. ไม่ได้เป็นสินค้าทดแทนพลังงานเหมือนสินค้าเกษตรอื่นๆ ที่ขายดีขึ้นเพราะน้ำมันแพง

ตัวเลขเหล่านี้ก็สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารที่เพิ่มขึ้น 6.42% จากปีก่อน จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์

แต่พอลองหันมามองต้นทุน จะเห็นว่ามีต้นทุนราคาปุ๋ยที่พุ่งขึ้นจนกลบรายได้ (ที่เพิ่มขึ้นจากอาหารแพง) จนมิด เช่น 

  • ข้าวเจ้าที่กำไรขั้นต้นของชาวนาในภาคกลางและเหนือจะเปลี่ยนจากมีกำไร 20.9% ของรายได้ทั้งหมดมาเป็นขาดทุน 1.5% 
  • ข้าวหอมมะลิที่กำไรขั้นต้นของชาวนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากที่ขาดทุนอยู่แล้ว 27.5% ของรายได้ทั้งหมด จะยิ่งขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 63.6%

ขณะที่สินค้าเกษตรอื่น ๆ อย่างปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง และยางพารา แม้ว่าราคาปุ๋ยที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ต้นทุนการเพาะปลูกโดยรวมเพิ่มขึ้น แต่ราคาน้ำมันที่เพิ่มได้ดึงให้ราคาของสินค้าเกษตรเหล่านี้ปรับตัวดีขึ้นใกล้เคียงหรือมากกว่า ทำให้สามารถชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้เพียงพออยู่บ้าง

3 แนวทางเสริมแกร่งเกษตรกร

KKP Research ประเมินว่า สถานการณ์นี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขและดูแลจากภาครัฐใน 3 ประเด็น 

1) การจัดสรรพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด หรือ Zoning 

  • โดยเฉพาะข้าวและอ้อยที่ยังใช้พื้นที่ไม่เหมาะสมคือเพาะปลูกในพื้นที่ที่ให้ผลผลิตต่ำ 
  • ขณะเดียวกันสำหรับสินค้าเกษตรอื่น ๆ ยังพบหลายจังหวัดมีการใช้พื้นที่เพาะปลูกน้อยเกินไป แม้ว่าจะให้ผลผลิตสูงก็ตาม
ชาวนา เกษตรกรไทย
ภาพจาก Shutterstock

2) การพัฒนาระบบชลประทาน เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ของภาคเกษตร 

  • โดยเฉพาะข้าวที่จากพื้นที่ปลูกทั้งหมดในปัจจุบัน 59 ล้านไร่ กลับมีถึง 74.3% หรือ 44.5 ล้านไร่ที่อยู่นอกเขตชลประทาน
  • และเมื่อคิดเป็นผลผลิตต่อไร่ การปลูกข้าวในเขตชลประทานจะให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่านอกเขตชลประทานเกือบ 60% 

3) การวิจัยพัฒนาพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตที่สูงขึ้น 

  • มีความทนทานต่อสภาพอากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงตรงกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน 

รับมือวิกฤตอาหาร

KKP Research มองว่าแม้ในปัจจุบันประเด็นเรื่องวิกฤตอาหารในไทยอาจจะยังไม่น่ากังวลเหมือนหลายประเทศในโลก แต่ในระยะยาวจากความเปราะบางของภาคเกษตรไทยที่สะท้อนออกมาจากวิกฤตราคาปุ๋ยครั้งนี้ ทำให้ไทยจำเป็นต้องวางแผน พัฒนาและลงทุน เพื่อเตรียมรับมือ 

Thai Farmer Rice ชาวนา ไทย
ภาพจาก Shutterstock

ข้อมูลจาก Global Food Security Index ของ The Economist พบว่าประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 51 จากทั้งหมด 113 ประเทศ โดยไทยมีคะแนนที่ดีในมิติราคาอาหารที่เข้าถึงได้ (Affordability) แต่ในมิติความพร้อมของอาหาร (Availability) มิติคุณภาพและความปลอดภัย (Quality and Safety) และมิติทรัพยากรธรรมชาติและความยืดหยุ่น (Natural Resources & Resilience) ยังได้คะแนนไม่มากนักสะท้อนให้เห็นว่าในภาคการเกษตรเองยังสามารถพัฒนาให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพที่สูงขึ้นได้อีกมาก

ที่มา – KKP Research

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา