Infinix เป็นสมาร์ทโฟนจากประเทศจีนแบรนด์ล่าสุดที่เข้ามาทำตลาดในไทย แต่เดินกลยุทธ์ไม่เล่นใหญ่อย่างใครเขา ขอโตเบาๆ แบบป่าล้อมเมือง ตั้งเป้าขอแชร์ 5% ในตลาด แถมได้ลูกหม้อเก่า “i-mobile” มาเป็นผู้บริหารด้วย
บุกตลาดด้วยเซ็กเมนต์ Entry เจาะต่างจังหวัด
ถึงแม้ว่าตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทยจะดูอิ่มตัวแล้วก็ตามมีการเติบโตน้อยลง แต่ก็ยังมีการแข่งขันที่สูงอยู่ ยังมีแบรนด์ใหม่เข้ามาตีตลาดอย่างต่อเนื่อง ชี้ให้เห็นว่าตลาดยังมีช่องว่าง และโอกาสอยู่
Infinix ได้เริ่มศึกษาตลาดในไทยตั้งแต่ปลายปี 2559 จากนั้นได้เข้ามาตั้ง บริษัท อินฟินิกซ์ โมบิลิตี้ จำกัด เมื่อเดือนมิถุนายน และได้ว่งจำหน่ายสมาร์ทโฟนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม
ซึ่งโอกาสที่ Infinix มองเห็นเป็นตลาดในกลุ่มต่างจังหวัด สำหรับกลุ่มที่เริ่มใช้สมาร์ทโฟน จึงเลือกบุกตลาดนี้ด้วยรุ่นที่ราคาต่ำกว่า 5,000 บาท เซ็กเมนต์ Hot & Smart โดยใช้จุดแข็งที่สเป็คแรง แบตทน หน้าจอ HD ในราคาเบาๆ
กลยุทธ์ที่ใช้จึงเป็นป่าล้อมเมือง มีการจำหน่ายผ่านดีลเลอร์ร้านค้า ลูกตู้ต่างๆ มีการแต่งตั้งให้ บริษัท เทเลทัช จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายเข้าช่องทางอื่นๆ และล่าสุดเพิ่งเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายผ่านออนไลน์ในลาซาด้า และช้อปปี้
การเข้ามาทำตลาดในไทยครั้งนี้ ได้คว้าลูกหม้อเก่ามือถือในตำนานอย่าง “i-mobile” ขึ้นแท่นบริหาร “จุลลดา ทรัพย์สารสิน” กับตำแหน่ง Head of Infinix Thailand
“แบรนด์ Infinix ได้เริ่มก่อตั้งตั้งแต่ปี 2013 แล้ว ตอนนี้ได้ขยายไป 22 ประเทศ หลังจากที่ได้ทดลองทำตลาดในไทยก็ได้เห็นผลตอบรับที่ดี เป็นแบรนด์ที่เน้นคุณภาพในราคาไม่แพง ในตอนแรกเราเน้นทำตลาดต่างจังหวัดก่อน เพราะในกรุงเทพฯ จะต้องเน้นแบรนด์ จะทยอยมีการทำตลาดใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ”
ยันไม่มีพรีเซ็นเตอร์! เจาะบล็อกเกอร์ลูกเดียว
ท่ามกลางบรรดาสมาร์ทโฟนแบรนด์จีนในไทย ต่างมีพรีเซ็นเตอร์ประกบทั้งสิ้นเพื่อช่วยสร้างแบรนด์ สร้างการรับรู้ แต่ Infinix ยังเป็นแบรนด์ใหม่ งบการตลาดไม่มาก จึงไม่มีพรีเซ็นเตอร์ แต่จะเน้นช่องทางบล็อกเกอร์ รีวิว และออนไลน์เป็นหลัก
“การตลาดเราตะเน้นช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ผ่านบล็อกเกอร์ Influencer ต่างๆ แต่ยังไม่มีพรีเซ็นเตอร์ เพราะถ้ามีพรีเซ็นเตอร์เราขายราคานี้ไม่ได้แน่นอน”
ปัจจุบัน Infinix มีสมาร์ทโฟน 4 เซ็กเมนต์ ได้แก่
1. Hot & Smart Series รุ่น Entry ราคาต่ำกว่า 5,000 บาทเน้นราคาคุ้มค่า แบตทน
2. S Series จับกลุ่มตนชอบถ่ายภาพ มีกล้องหน้าเลนส์วาย 135 องศา
3. Note Series มีปากกาสำหรับจดบันทึก
4. Zero Series รุ่นไฮเอนด์ เน้นสเป็คแรง กล้องโปร ราคา 9,990 บาท
หลังจากที่ได้วางจำหน่ายได้ 3-4 เดือน มียอดขายรวม 10,000 เครื่อง ในสิ้นปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 25,000 เครื่อง และในปีหน้าตั้งเป้ามียอดขายรวม 300,000 เครื่อง และส่วนแบ่งการตลาด 5%
สรุป
– ตลาดสมาร์ทโฟนในไทยยังมีช่องว่างให้แบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาจับตลาดได้อยู่เสมอ เพราะยังมีกลุ่มที่ยังไม่เคยใช้ หรือต้องการเปลี่ยนเครื่องใหม่ แต่แบรนด์ต้องหาจุดยืน และเจาะตลาดให้ตรงกลุ่มให้ได้
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา