จากข้อพิพาทชายแดนสู่สงครามการค้าจีน-อินเดีย หรือแท้จริงแล้วนี่คือศึกแย่งชิงความเป็นใหญ่ในภาวะที่จีนกำลังอ่อนแอ
ครั้งหนึ่ง Jawaharlal Nehru รัฐบุรุษและนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียเคยใฝ่ฝันถึงการร่วมมือระหว่างสองประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจแห่งเอเชียอย่างจีนและอินเดียมากกว่าการสู้รบปรบมือ แต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจของ Jawaharlal Nehru จะต้องพังลงไปพร้อมๆ กับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศหลังจากเหตุการณ์ปะทะกันบนยอดเขาหิมาลัยที่ผ่านมาและถูกแทนที่ด้วยสงครามที่กำลังก่อตัวระหว่างสองประเทศแทน
การก่อสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างจีน-อินเดียในตอนนี้จะนำไปสู่ผลกระทบอันเลวร้ายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดที่สามารถจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่จะทำให้เศรษฐกิจโลกตกต่ำมากแค่ไหน จีนกับอินเดียก็ยังคงเล่นสงครามประสาทกันอยู่อย่างต่อเนื่องผ่านมาตรการการเพิ่มข้อจำกัดทางการค้าและอัตราภาษีศุลกากร
เปิดฉากด้วย Narendra Modi นายกรัฐมนตรีอินเดียทำการแบนแอปพลิเคชันยอดนิยมของจีนอย่าง TikTok กับ WeChat และแอปอื่นๆ โดยอ้างเหตุผลเรื่องความมั่นคงภายในประเทศอีกด้วย ไม่หยุดแค่นั้น ตอนนี้รัฐบาลอินเดียยังเตรียมที่จะทำการไล่แบนจีนไปทีละอุตสาหกรรมตั้งแต่อุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมไฟฟ้า เครื่องจักรกลหนัก ยาว ไปจนถึงอุตสาหกรรมยางเลยทีเดียว
จริงอยู่ที่ที่ผ่านมาอินเดียกลายเป็นแหล่งการผลิตที่มีกำลังมากพอๆ กับจีนจากการผลักดันการส่งออกสินค้า Made in India ของโมดีที่ทำให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 10 ล้านตำแหน่ง แถมยังมองเกมออกว่าจีนอยากให้เปลี่ยนระบบแรงงาน ที่ดิน กฎหมาย รวมถึงระบบภาษีในประเทศเพื่อเอื้อให้บริษัทจากจีนเข้ามาทำธุรกิจ และตอนนี้การตอบโต้ของโมดีก็กำลังพาจีนไปสู่อีกจุดของความยากลำบาก
แต่สิ่งที่โมดีนายกรัฐมนตรีของอินเดียควรจะทำที่สุดตอนนี้อาจไม่ใช่การจับตามองอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยบริษัทและวัตถุดิบจากจีนแต่คือการคิดว่าจะรับมือและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศในตอนนี้ยังไงมากกว่า
การระบาดของโควิดทำให้ปัญหาทางเศรษฐกิจที่อินเดียกำลังเจออยู่ก่อนหน้านี้เลวร้ายลงกว่าเดิมจน Fitch บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ตัดสินใจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอินเดียลง เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Debt-to-GDP หรือ debt/GDP) ของอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 70% ในปีงบประมาณ 2020 และคาดว่าสัดส่วน debt/GDP ของอินเดียจะเพิ่มขึ้นเป็น 84% ในปีงบประมาณ 2021
ก่อนหน้านี้อินเดียถูก Moody’s สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออีกแห่งหนึ่งปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรอินเดียลงจาก Baa2 เป็น Baa3 มาแล้ว แถมอินเดียยังต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งคาดว่า GDP ของอินเดียจะลดลง 5-10% ในปีนี้ โดย CRISIL บริษัทจัดอันดับ ทำวิจัย และให้คำปรึกษาในอินเดียคาดว่าเศรษฐกิจอินเดียประมาณ 10% ของ GDP อาจเสียหายจนไม่สามารถกู้คืนได้อีกด้วย
Note: Debt-to-GDP หรือ debt/GDP ใช้ในการดูความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ของแต่ละประเทศโดยเทียบจากขนาดของ GDP และหนี้สาธารณะ ถ้าสัดส่วน Debt-to-GDP สูงเกินไปประเทศนั้นๆ อาจตกอยู่ในภาวะความเสี่ยงที่รัฐบาลไม่สามารถชำระหนี้ได้
Martin Wolf หัวหน้าฝ่ายวิจารณ์เศรษฐกิจจาก Financial Time มองว่าวิกฤตทางเศรษฐกิจจากโควิดในครั้งนี้จะหนักหนามากกว่าตอนที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงที่สุดหรือ The Great Depression ประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ต่างได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการล็อคดาวน์ รวมถึงอินเดียด้วยเช่นกัน สิ่งที่รัฐบาลอินเดียควรทำในตอนนี้คือการพยายามเยียวยาและรักษาความต้องการภายในประเทศซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของ GDP ที่กำลังย่ำแย่เพราะโควิด-19 (ประมาณ 57% ของ GDP อินเดียมาจากการบริโภคภายในประเทศ)
ทั้งอินเดียและจีนได้รับผลกระทบจากโควิดกันทั้งคู่แต่การตอบโต้ของโมดีที่มีต่อ Huawei โรงงานของจีน และสินค้าอื่นๆ อาจเป็นการตัดสินใจที่ผลลัพธ์จะกลับมาทำร้ายและขัดขวางการพัฒนาของอินเดียเองมากกว่าสร้างความเสียหายให้กับจีน
ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์อันร่อแร่ของจีนกับคู่ค้าใหญ่ๆ ที่ไม่ใช่แค่อินเดีย แต่รวมถึงญี่ปุ่นและประเทศตะวันตกอื่นๆ เองจะส่งผลต่อการเมืองและเศรษฐกิจของจีนอยู่ไม่น้อย แต่การที่มาแทนที่จีนนั้นมันชัดเจนว่าประเทศมีราคาที่ต้องจ่ายและต้องจ่ายในราคาที่แพงมาก จีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก มีขนาดการผลิตที่ใหญ่ ถูก และคุณภาพดี มันยากมากที่จะมีประเทศไหนมาแทนที่จีนได้ในแง่ของการแข่งขันเรื่องต้นทุนการผลิตและราคา จะยุโรปหรืออเมริกาก็ทำไม่ได้ สำหรับอินเดียยิ่งชัดเจนว่าเป็นไปได้ยาก
จากเป้าหมายของโมดีตอนนี้คือการดึงดูดโรงงานและการผลิตขนาดใหญ่ที่ย้ายออกจากจีนจากปัญหาสงครามการค้าจีน-อเมริกาซึ่งแน่นอนว่าถ้าเทียบจำนวนประชากรโมดีก็ชนะเวียดนามเห็นๆ เพราะใหญ่กว่า 13 เท่าตัว
Wolf มองว่าถ้าอินเดียคิดจะมาแทนที่ฐานการผลิตของจีนจริงๆ อินเดียอาจจะต้องเตรียมตัวกับราคาที่ต้องจ่ายในการแข่งขันครั้งนี้ซึ่งเป็นต้นทุนที่แพงและกระทบทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในประเทศอินเดีย
ที่มา: Economictimes, Quartz India, The Print, Forbes
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา