วิเคราะห์ ศึกเดิมพันลูกค้าหลักพันล้านคน ระหว่าง Amazon – Flipkart ในประเทศอินเดีย

ศึกระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่ E-commerce อย่าง Amazon และยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอย่าง Walmart ในประเทศอินเดียที่มีลูกค้าระดับพันล้านคนเป็นเดิมพันการเติบโตครั้งใหม่ ย่อมไม่มีใครยอมใครแน่นอน

ภาพจาก Shutterstock

อย่างที่รู้ๆ กันว่าประเทศอินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอีกประเทศในโลก ซึ่งรองจากจีน นอกจากนี้อินเดียยังเป็นประเทศที่ยังมีโอกาสเติบโตสูงมากๆ ย่อมทำให้ไม่มีใครยอมใคร

เว็บไซต์ Quarz เคยรายงานว่า ตลาด E-commerce ในปี 2022 ของประเทศอินเดียมูลค่าของตลาดนี้จะอยู่ประมาณ 73,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตประมาณ 29.2% ทำให้ไม่ว่าบริษัทลงทุนหรือแม้แต่บริษัทเทคโนโลยีสนใจในตลาดอินเดียไม่น้อย

สำหรับสัดส่วนตลาด E-commerce ในประเทศอินเดีย ข้อมูลล่าสุดจาก Forrester เผยแพร่โดย Bloomberg Quint นั้น

  1. Flipkart ครองสัดส่วนสูงสุดที่ 39.5%
  2. Amazon  ครองสัดส่วนที่ 31%
  3. PayTM ครองสัดส่วนที่ 5.6%
  4. ที่เหลือทั้งหมดคือรายเล็ก รายน้อย

สำหรับความพึงพอใจลูกค้าในประเทศอินเดียนั้นอันดับ 1 และ 2 ตามมาติดๆ เลยทีเดียว โดย Flipkart ลูกค้าพอใจถึง 97% ขณะที่ Amazon ลูกค้าพึงพอใจ 93% ซึ่งอันดับรองลงมาอยู่สูงสุดเพียงแค่ 82% แสดงให้เห็นถึงสงครามนี้อย่างเห็นได้ชัด

ภาพจาก Shutterstock

ทำไม E-commerce ของอินเดียมาไกลได้ขนาดนี้

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ E-commerce ของประเทศอินเดียมาได้ไกลขนาดนี้คือประชาชนเริ่มมีโทรศัพท์มือถือเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ Smartphone ทั้งหลาย และแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นมือถือ android ราคาถูก ซึ่งบริษัทผลิตมือถือหลายรายพยายามเจาะตลาดนี้

นอกจากนี้ยังมีตัวเร่งอย่างผู้ให้บริการมือถือเจ้าใหม่อย่าง Jio ที่เป็นผู้เล่นใหม่ของวงการผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในอินเดีย ที่มีทุ่มราคาค่า Data ลงมาในระดับถูกมาก สร้างความปวดหัวให้ผู้เล่นเดิมอย่าง Vodafone และ Bharti Airtel ในประเทศอินเดีย นอกจากนี้การมาของ Jio ยังเร่งให้เกิดการควบรวมกิจการเพื่อที่จะครองส่วนแบ่งตลาดให้ได้มากขึ้นด้วย

ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนที่ทำให้ E-commerce ในอินเดียมาได้ไกลมาก

ภาพจาก Shutterstock

 

Amazon พยายามตีตื้น

Amazon.in ถือกำเนิดเกิดขึ้นในปี 2013 จากการก่อตั้งเว็บไซต์ที่รวบรวมวิศวกรที่ทำงานที่สำนักงานใหญ่ในสหรัฐ แต่ดันเกิดอยากกลับมาที่บ้านเกิด โดยอดีตนั้น Amazon อินเดียมีโกดังสินค้านอกเมืองมุมไบ พื้นที่เพียงแค่ 140,000 ตารางเมตรเท่านั้น ต่างกับปัจจุบันที่มีมากกว่ามหาศาล เช่น ศูนย์กระจายสินค้า 50 แห่งทั่วอินเดีย

แถมในปี 2016 ทาง Amazon เองได้เปิดให้บริการ Prime ที่มีข้อเสนอคือสามารถส่งของภายในประเทศอินเดียภายใน 2 วัน ค่าสมาชิกเพียงแค่ 999 รูปี / ปี และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Amazon สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดมากจากคู่แข่งรายอื่นๆ ได้

อย่างไรก็ดีความท้าทายของ Amazon ในประเทศอินเดียคือกฏหมายอินเดียห้ามไม่ให้บริษัทต่างชาติสามารถที่จะขายสินค้านอกจากอาหารในประเทศอินเดีย ซึ่งทำให้บริษัทต้องลงไปหาร้านค้าต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 14,000 ร้านค้า เพื่ออบรมในการขายของใน Amazon เพื่อตีตื้นคู่แข่งอย่าง Flipkart

นอกจากนี้เรื่องของการขนส่งพัสดุในประเทศอินเดียที่มีมหาศาล Amazon ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้ใช้บริการของ India Post  แต่ก็พยายามสร้างเครือข่ายขนส่งของตัวเองขึ้นมาเพื่อลดการพึ่งพาจาก India Post มากเกินไป

ภาพจาก Shutterstock

Walmart กับการเดิมพันครั้งใหญ่

ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอย่าง Walmart เลือกที่จะสู้กับ Amazon อีกสักครั้ง ซึ่งในอดีตนั้นบริษัทได้พ่ายแพ้แก่ Amazon อย่างราบคาบ ในหลายๆ ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หรือ สหรัฐอเมริกา ที่แพ้ราคาบให้กับบริษัทเทคโนโลยี

แต่สำหรับสนามอินเดียแล้ว Walmart ไม่ยอม Amazon แน่นอน การลงทุนใน Flipkart ทำให้บริษัทมีโอกาสแย่งชิงและครองตลาด E-commerce ในประเทศที่มีประชากรสูงอย่างอินเดียได้ เพราะถ้า Walmart ไม่ทำอะไรสักอย่างแล้วปัญหาคือรายได้ของบริษัทอาจลดลงเรื่อยๆ

นอกจากนี้ความตั้งใจของ Walmart ที่จะสู้กับ Amazon นั้นเต็มเปี่ยม โดยผู้บริหารเคยกล่าวถึงว่า Flipkart อาจขาดทุน แต่ในอนาคตเชื่อว่ามาถูกทาง เพราะว่าลูกค้าในอินเดียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบริษัทได้ลงทุนกับ E-commerce อันดับ 1 ของประเทศอย่าง Flipkart เป็นมูลค่าถึง 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ก่อนหน้าที่ Walmart สนใจจะลงทุนนั้น Amazon เคยสนใจที่จะซื้อกิจการทั้งหมดของ Flipkart มาแล้วด้วย แต่สุดท้ายได้ปฏิเสธไป และนอกจากนี้ Flipkart ยังได้ซื้อกิจการคู่แข่งอย่าง Myntra ซึ่งเป็น E-commerce คู่แข่งอีกรายในช่วงเดียวกันด้วย

สำหรับ Walmart ในประเทศอินเดียแล้ว เกมนี้ถือว่าเป็นเดิมพันที่แพ้ไม่ได้เลยทีเดียว

ภาพจาก Shutterstock

เจ้าอื่นแทบจะตายหมดแล้ว

ขณะที่ E-commerce เจ้าอื่นๆ นั้นแทบมีสัดส่วนการตลาดที่น้อยลง หลังจากการแย่งสัดส่วนตลาดของ Amazon และ Flipkart ทั้งๆ ที่ตลาด E-commerce ของอินเดียกลับขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ และเติบโตปีละหลายสิบ %  แต่กลายเป็นว่าทั้งเจ้าหลัก 2 แทบจะกวาดเรียบหมด

โดยเฉพาะอดีตผู้ยิ่งใหญ่อย่าง Snapdeal ที่เคยมีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 3 ที่ประมาณ 22% ในปี 2015-2016 แต่หลังจากนั้นกลายเป็นว่า E-commerce รายนี้กลับส่วนแบ่งลดลงทุกไตรมาส ปัญหาเกิดจากการไม่โฟกัสตลาด รวมไปถึงความพึงพอใจของลูกค้าที่ลดลงเรื่อยๆ

นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า Snapdeal เตรียมที่จะให้ ​Flipkart ซื้อกิจการด้วย ซึ่งยังไม่มีท่าทีออกมาจาก Flipkart

ภาพจาก Shutterstock

เหลือแค่ Paytm ผู้มาแรง (ที่อาจไม่รอด?)

ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ยักษ์ใหญ่ Paytm ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดอีคอมเมิร์ซและชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของอินเดีย ปัจจุบันมีคนอินเดียใช้งานกว่า 220 ล้านคน Paytm ถือเป็นบริการชำระเงินออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ซึ่งผู้ลงทุนรายใหญ่คือ SoftBank รวมไปถึง Alibaba ด้วย

ซึ่งล่าสุดลงมาทำ Paytm ได้หันมาทำ E-commerce ของตัวเอง โดยได้แรงหนุนมาจาก Alibaba อีกด้วย ท้ายที่สุดแล้วต้องมาลุ้นกันว่าจะรอดหรือร่วง

นอกจากนี้ยังเจ้าของค่ายมือถือและรวมไปถึงมหาเศรษฐีอินเดียอย่าง Mukesh Ambani ก็มีความคิดที่จะทำ E-commerce ด้วยเช่นกัน โดยหวังว่าลูกค้าที่เป็นผู้ใช้บริการ Jio ก็จะมาเป็นลูกค้าของ E-commerce ของเขาเช่นกัน ซึ่งไอเดียดังกล่าวนั้น Mukesh Ambani ได้ไอเดีย New Retail มาจาก Jack Ma อีกด้วย

สรุป

เกมนี้เป็นเกมที่แพ้ไม่ได้ของทั้ง 2 ฝั่ง แถมยังมีผู้เล่นรายใหม่อย่าง Paytm กับมหาเศรษฐีชาวอินเดียอย่าง Mukesh Ambani เข้ามาด้วย ซึ่งอนาคตเราจะได้เห็นการแข่งขันอย่างดุเดือดในสมรภูมิของ E-commerce ในประเทศอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นเกมตัดราคาสินค้า ใครที่ขนส่งได้ไวกว่า มีตัวเลือกในการจ่ายเงินมากกว่า หรือแม้แต่บริการที่ดีกว่า

เพราะว่าตลาด E-commerce ของอินเดียยังสามารถที่เติบโตไปได้เรื่อยๆ และเม็ดเงินก้อนนี้ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ฉะนั้นใครที่เอาชนะในเกมนี้ได้ย่อมมาพร้อมกับรายได้มหาศาลแน่นอน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
Content Writer ที่สนใจในเรื่องของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศ กลุ่ม TMT (Technology, Media, Telecom) การควบรวมกิจการ (M&A) นโยบายทางเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ รวมถึงสิ่งละอันพันละน้อยทางธุรกิจที่น่าสนใจ