อิมแพ็ค เมืองทองธานี คือโนหนึ่งเรื่อง ‘สถานที่จัดคอนเสิร์ต’ ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตรูปแบบไหนๆ ขนาดหมื่นหรือพันที่นั่ง ทุกแฟนด้อมก็จะนึกถึง ‘อิมแพ็ค’ ก่อนใครเพื่อน แต่ที่ผ่านมา อิมแพ็คไม่มี ‘สเตเดียม’ ขนาดใหญ่หลัก 4-5 หมื่นที่นั่งสำหรับจัดคอนเสิร์ตโดยเฉพาะ
เพราะแม้ ธันเดอร์โดม สเตเดียม จะตั้งอยู่บนพื้นที่ของเมืองทองธานี แต่ก็อยู่ภายใต้การดูแลของการกีฬาแห่งประเทศไทยที่มีสัญญาเช่าพื้นที่เป็นหลัก การออกแบบพื้นที่จึงเหมาะกับกีฬาฟุตบอลมากกว่าการจัดคอนเสิร์ต
แต่อีกสองสามปีข้างหน้า พื้นที่ธันเดอร์โดม สเตเดียมจะกลับมาอยู่ภายใต้การบริหารงานของอิมแพ็ค เมืองทองธานีอย่างเต็มตัวแล้ว ดังนั้น ตอนนี้จึงเป็นเวลาของการวางแผนอนาคตของ ธันเดอร์โดม และ ธันเดอร์โดม สเตเดียม แล้ว
เตรียมรื้อสนามฟุตบอล ทำ ‘ธันเดอร์โดม สเตเดียม’ เป็นที่จัดคอนเสิร์ต
พอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เล่าว่า ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทำแผนอนาคตให้กับ ธันเดอร์โดม และ ธันเดอร์โดม สเตเดียม แต่เบื้องต้นคาดว่าจะไม่มีสนามฟุตบอลแล้ว แต่จะรื้อแล้วมาทำสิ่งที่อิมแพ็คถนัดอย่างจัดงานคอนเสิร์ตหรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์แทน
เป้าหมายในอนาคตคือวางให้ ธันเดอร์โดม สเตเดียม สามารถรองรับการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ๆ ได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่ากลายเป็น Outdoor Stadium แห่งใหม่ของประเทศไทย ความจุ 45,000 ที่นั่ง เพื่อเติมเต็มช่องว่างให้กับอิมแพ็คที่เดิมมีสถานที่จัดคอนเสิร์ตหลากหลายขนาดอยู่แล้ว ได้แก่
- ธันเดอร์โดม 5,000 ที่นั่ง
- อิมแพ็ค อารีน่า 12,000 ที่นั่ง
- อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 20,000 ที่นั่ง
- อิมแพ็ค ธันเดอร์โดม สเตเดียม 45,000 ที่นั่ง
การมาของ ธันเดอร์โดม สเตเดียม จะทำให้ อิมแพ็ค เมืองทองธานี สามารถรองรับการจัดคอนเสิร์ตทุกขนาด รองรับอุตสาหกรรมคอนเสิร์ตที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะประเทศไทยมีคอนเสิร์ตมากถึง 250-300 งานต่อปี โดยเป็นคอนเสิร์ตที่มาใช้พื้นที่ของอิมแพ็คจัดงานราว 40 งานต่อปีแล้ว
นอกจากประเทศไทยเอง หลายประเทศในภูมิภาคต่างมีสเตเดียมขนาดใหญ่ที่เหมาะสำหรับจัดคอนเสิร์ตกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์หรือฮ่องกง
เตรียมรีโนเวท ‘อิมแพ็ค อารีน่า’ ลดต้นทุนผู้จัด-เพิ่มโชว์ได้อีก
นอกจากนั้นแล้ว อิมแพ็ค เมืองทองธานี ยังได้จับมือกับ ไลฟ์เนชัน (Live Nation) บริษัทด้านความบันเทิงระดับโลกที่มีหลากหลายธุรกิจ ตั้งแต่ผู้จัดงานอีเวนต์และคอนเสิร์ต ผู้บริหารจัดการศิลปิน เจ้าของสถานที่จัดงาน และอื่นๆ อีกหลายอย่าง มาร่วมกันจัดตั้งบริษัทใหม่อย่าง อิมแพ็ค ไลฟ์เนชัน
ซึ่งบริษัทนี้จะทำหน้าที่เช่าพื้นที่อิมแพ็ค อารีน่ากลับมาจาก อิมแพ็ค รีท (IMPACT GROWTH REIT) เป็นระยะเวลา 20 ปี
ภารกิจของ อิมแพ็ค ไลฟ์เนชัน คือการรีโนเวท อิมแพ็ค อารีน่า ด้วยงบประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป้าหมายหลักคือ “ลดต้นทุนผู้เข้ามาเช่าพื้นที่จัดงาน” และ “มอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้ผู้ชม”
พอล อธิบายว่า แผนการรีโนเวทอิมแพ็ค อารีน่า ประกอบไปด้วย การปรับปรุงพื้นที่จัดแสดงให้ ‘ผู้เช่า’ หรือ ‘ผู้จัดคอนเสิร์ต’ สามารถเซ็ตอัปได้รวดเร็วขึ้น เพื่อลดเวลาในการเข้าเซ็ตอัปงาน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าเช่าที่ผู้จัดจะต้องจ่าย ในขณะเดียวก็จะทำให้อิมแพ็คสามารถปล่อยพื้นที่เช่าต่อได้เร็วขึ้น และสามารถเพิ่มจำนวนโชว์ที่จะเข้ามาใช้บริการด้วย
นอกจากนั้น ยังมีแผนจะปรับพื้นที่ VIP Box ใหม่ให้สามารถจำหน่ายได้ ทั้งในรูปแบบจำหน่ายแยกและแบบรายปี พร้อมบริการอาหารและเครื่องดื่มด้วย
ผู้บริหารของอิมแพ็ค อารีน่า เล่าว่า นับตั้งแต่เปิดบริการมา ฮอลล์ยังไม่เคยรีโนเวทใหญ่มาก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นการปรับปรุงตามความเหมาะสม และครั้งนี้ก็จะไม่ใช่การปิดปรับปรุงทั้งหมดเช่นกัน แต่เป็นการทำทีละส่วน ‘อิมแพ็ค อารีน่า’ จึงยังคงเปิดให้บริการตามปกติ
ตั้งแต่โควิด-19 เป็นต้นมา อิมแพ็ค อารีน่า ถูกจองเต็มทุกวันหยุดสุดสัปดาห์มาโดยตลอดจนถึงปลายปี 2568 นี้ด้วย การร่วมทุนครั้งนี้กำหนดจะเริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 ที่จะถึงนี้และมีกำหนดรีโนเวทแล้วเสร็จภายใน 18 เดือนหลังจากนั้น
เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด พอล บอกว่า หลายคนเข้าใจผิดว่าการร่วมทุนกับ ‘ไลฟ์เนชัน’ แปลว่าจะจัดแต่คอนเสิร์ตของไลฟ์เนชันเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วธุรกิจของไลฟ์เนชันมีทั้งส่วนที่เป็นโปรโมเตอร์จัดคอนเสิร์ต และผู้ให้เช่าสถานที่จัดคอนเสิร์ต
ส่วนที่อิมแพ็คมาร่วมทุนด้วย คือ ฝั่งผู้ให้บริการสถานที่เช่าจัดคอนเสิร์ต ดังนั้น อิมแพ็ค อารีน่า ยังคงเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตให้กับทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีสิทธิพิเศษอะไรให้กับไลฟ์เนชัน
เพิ่มห้องพักศิลปิน ปั้นฮอลล์ 5-12 รับอีเวนต์ด้านบันเทิงด้วย
อิมแพ็คยังเตรียมจะนำเสนอพื้นที่ใหม่ๆ อย่าง อิมแพ็ค ฮอลล์ 5-12 ที่ปกติเน้นใช้จัดงานประชุมและแสดงสินค้า ไปใช้จัดงานด้านบันเทิง โดยเฉพาะในรูปแบบของ เทศกาลดนตรี ที่ต้องการพื้นที่หลายเวที หลายฮอลล์ เพราะฮอลล์ 5-12 สามารถแบ่งย่อยได้ถึง 8 อาคาร รองรับผู้ร่วมงานได้เฉลี่ย 3,500-4,500 คนต่ออาคาร
อิมแพ็ค จึงมีแผนพัฒนา ห้องพักและห้องแต่งตัวศิลปิน บริเวณอาคาร 5-12 ใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตของอีเวนต์ด้านความบันเทิงในอนาคต
ขณะที่ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1-3 ที่มีพื้นที่ถึง 60,000 ตารางเมตรและมีจุดเด่นอย่างไม่มีเสากั้น สามารถรองรับผู้เข้าร่วมงานได้ 45,000-50,000 คน ได้กลายเป็นอาคารจัดอีเวนต์บันเทิงในร่มขนาดใหญ่ไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา
วางแผนขยายโรงแรม เพิ่มจาก 1,000 เป็น 5,000 ห้อง
อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ แผนการขยายโรงแรม เพราะการหาห้องพักโรงแรมในพื้นที่เมืองทองธานี ช่วงที่มีการจัดงานเทรดหรือคอนเสิร์ตใหญ่ๆ ทีไรก็เป็นเรื่องยากมาก
เพราะเดิม 2 โรงแรมในพื้นที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี อย่าง ไอบิส กรุงเทพ อิมแพ็ค และ โนโวเทล กรุงเทพ อิมแพ็ค มีห้องพักรวมกันไม่ถึง 1,000 ห้องเท่านั้น เมื่อวางแผนอนาคต อิมแพ็คจึงมีแผนจะขยายโรงแรมในพื้นที่เพิ่มให้สามารถรองรับได้ถึง 5,000 ห้อง
ระยะที่หนึ่ง อิมแพ็คจึงเซ็นสัญญากับ ฮิลตัน (Hillton) ก่อสร้างโรงแรม 5 ดาวและโรงแรม 4 ดาว รวมจำนวนห้องพักเกือบ 1,000 ห้อง เพื่อให้อิมแพ็คมีห้องพักอย่างน้อย 2,000 ห้องในเร็วๆ นี้
ซึ่งผู้บริหารอย่างพอล อธิบายว่า หลายๆ เทรดโชว์ต้องการให้มีห้องพักในพื้นที่ขั้นต่ำ 2,000 ห้อง ให้เพียงพอรองรับผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมชมงาน ในไทยตอนนี้ไม่มีพื้นที่โชว์ที่สามารถรองรับได้ขนาดนั้น ขณะที่สิงคโปร์กับฮ่องกงมี
พอล อธิบายว่า หลายคนห่วงกลัวว่าการเพิ่มโรงแรมใหม่จะทำให้อัตราการเข้าพักของโรงแรมเดิมตกลงไหม แต่จริงๆ แล้วเมื่อมีจำนวนห้องพักมากขึ้นก็จะสามารถดึงงานเข้ามาจัดในพื้นที่อิมแพ็คเพิ่มมากขึ้นได้ ทำให้ภาพรวมอัตราการเข้าพักย่อมสูงขึ้นตามด้วย
โดยที่ผ่านมา 2 โรงแรมในพื้นที่อิมแพ็คก็มีเพอร์ฟอร์มดีติดท็อปของประเทศไทย เพราะไม่ได้พึ่งนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ปัจจุบันหลายๆ คนเข้าพักโรงแรมมากขึ้นหลังดูคอนเสิร์ตเสร็จ เพราะมองเป็นประสบการณ์ ไม่ต้องรีบกลับบ้านก็ได้
ส่วนเป้าหมาย 5,000 ห้องคาดว่าจะสามารถทำสำเร็จได้ภายใน 8 ปีนับจากนี้ เมื่อพูดถึงการขยายโรงแรม พอลก็อธิบายภาพต่อไปของอิมแพ็คในมุมมองของเขาว่า นอกจากโรงแรมแล้ว ในอนาคตอิมแพ็คจะมี ศูนย์การค้า หรือ ห้างสรรพสินค้า ในพื้นที่ด้วย
โดยพอลเชื่อว่า การเดินตามแผนนี้จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของอิมแพ็คในฐานะจุดหมายปลายทางด้านความบันเทิงระดับโลกได้เป็นอย่างดี รวมถึงส่งผลให้ในปี 2568 มีรายได้เติบโตกว่า 4,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายว่าในปี 2573 จะมีรายได้แตะ 9,000 ล้านบาทได้ในที่สุด
- อินโดนีเซียเตรียมทุ่มงบดึงศิลปินเล่นคอนเสิร์ตตามสิงคโปร์ มอง “Swiftonomics” กระตุ้นการท่องเที่ยว
- ไม่ชอบคิดงานใหม่ทุกปี คอนเสิร์ต-เทศกาลดนตรีของ GMM SHOW เลยต้องมี ‘แบรนด์’
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา