นับเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้วที่ iflix เข้ามาเปิดให้บริการในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2558 และแม้จะมีผู้ให้บริการวิดีโอออนดีมานด์รายอื่นๆ ในตลาด แต่ปีนี้ iflix ระบุชัดเจนว่าจะเร่งเพิ่มยอดผู้ใช้งานขึ้น 3 เท่าจากเดิมที่มีอยู่ 1 ล้านราย พร้อมทุ่มงบทั่วโลกกว่า 200 ล้านเหรียญ (ประมาณ 7 พันล้านบาท) เพื่อซื้อคอนเทนต์และพัฒนาระบบ
iflix เร่งเครื่อง สู้กับคู่แข่งเรื่องหนึ่ง แต่สู้กับเว็บเถื่อน/แผ่นผี อันนี้เอาจริง!
วิดีโอออนดีมานด์ เป็นเทรนด์การเสพย์คอนเทนต์วิดีโอที่มาอย่างแน่นอน แต่ปัญหาใหญ่ในการทำธุรกิจนี้ไม่ใช่การแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดเหมือนธุรกิจอื่นทั่วๆ ไป เพราะต้องแข่งกับธุรกิจใต้ดิน เว็บเถื่อน หรือแผ่นผี ปรากฏการณ์นี้เป็นในหลายประเทศทั่วโลก แต่ในไทยเองต้องถือว่า “ปราบเซียน” อยู่ไม่น้อย
การทำธุรกิจวิดีโอออนดีมานด์ คือการแข่งขันกันเพื่อหาสมาชิกเป็นของตน หรือที่เรียกว่า Subscription Video On Demand (SVOD) ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคู่แข่งในทางธุรกิจมีแน่ แต่ที่ยากและเป็นปัญหาคือ “เว็บเถื่อน/แผ่นผี” ที่กระจัดกระจายในโลกออนไลน์ ทุกคนเข้าถึงได้ฟรี แต่ผิดกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์
สิ่งที่ iflix ประกาศจะทำเพื่อสู้กับเว็บเถื่อน/แผ่นผี (และแข่งขันกับผู้ให้บริการายอื่นๆ ไปพร้อมกัน) คือการดึงเอาจุดเด่นออกมาสู้ ดังนี้
- ภาพยนตร์ทุกเรื่องของ iflix จะไม่มีโฆษณาคั่น
- ดูได้ทุกช่องทาง สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ ทีวี
- ซับไตเติ้ลภาษาไทยต้องมี (ที่สำคัญต้องไว ถ้าทำได้ทันในระดับวันต่อวันได้ ยิ่งดี)
- ดาวน์โหลดมาชมแบบออฟไลน์ได้
- ราคาต้องไม่แพง ห้ามเกิน 100 บาทต่อเดือน
นางสาวอาทิมา สุรพงษ์ชัย หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท ไอฟลิกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า “สิ่งที่ iflix ต้องการคือ ถ้าทำให้คนแม้เพียงคนเดียว เลิกโหลดบิท เลิกโหลดหนังเถื่อน ได้สักรายเดียว ก็ถือว่าคุ้มแล้ว”
ทำตลาดแบบ iflix จุดแข็งคือ พาร์ทเนอร์ที่แกร่ง
นอกจากคอนเทนต์บน iflix ที่มีกว่า 30,000 ชั่วโมง และด้วยอันดับ Top two ในตลาดวิดีโอออนดีมานด์ของไทย iflix เผยชัดเจนว่า กลยุทธ์ทางธุรกิจคือการทำพาร์ทเนอร์ที่หลากหลายและแข็งแกร่ง เพื่อให้พาร์ทเนอร์นำ iflix ไปให้ลูกค้าของสินค้าและบริการนั้นๆ อีกต่อหนึ่ง เช่น Samsung ที่มีผู้ลูกค้ากว่า 30 ล้านคน หรือ DTAC ที่มีผู้ใช้งานกว่า 25 ล้านคน ดูแล้วถือว่ายังมีตลาดที่จะโตได้อีกมาก ถึงขนาดที่ iflix ประเมินไว้เลยว่า ปีนี้จะเพิ่มฐานผู้ใช้งานในไทยที่เดิมมีอยู่ 1 ล้านราย เป็น 3 ล้านราย เรียกได้ว่าตั้งเป้าที่จะโตเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในปีนี้เลยทีเดียว
แต่ภายใต้ความแข็งแกร่งของพาร์ทเนอร์ ก็มีบางจุดที่ iflix มองว่า เป็นสิ่งที่ตนไม่แข็งแกร่งคือ “กลุ่มภาพยนตร์ใหม่” ที่ iflix ไม่เน้น แต่ด้วยเหตุผลทางธุรกิจที่ต้องเลือก iflix ทราบดีว่าจะทำทุกอย่างไม่ได้ เพราะฉะนั้น การที่ iflix เน้นซีรีย์ทั้งไทย เทศ และเกาหลีจึงเป็นจุดเด่นหลักที่สอดคล้องกับฐานอายุในกลุ่มเป้าหมายคนดูของ iflix
ส่วนปีนี้เตรียมบุกตลาดตะวันออกกลางและแอฟริกา ด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มนักลงทุนที่แข็งแกร่งอย่าง แคทชา กรุ๊ป (Catcha Group), เอเวอร์ลูชั่น มีเดีย แคปิตอล (Evolution Media Capital – EMC), บริษัท ลิเบอร์ตี้ โกลบอล จำกัด มหาชน (Liberty Global PLC), ผู้ให้บริการสื่อบันเทิงและโทรคมนาคมรายใหญ่ระดับโลก, บริษัท สกาย มหาชน (Sky PLC) และล่าสุดร่วมมือกับ เซน (Zain) ผู้นำบริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือและโทรคมนาคมในตะวันออกกลางและแอฟริกา
นอกจากนั้น iflix จะบุกหนักเพื่อวางแผนสร้าง Original Content ได้แก่ ซีรีส์โรแมนติกวัยรุ่น 8 ตอน เรื่องเมจิก อาว (Magic Hour) ร่วมกับ สกรีนเพลย์ โปรดักชัน (Screenplay Productions) ที่ดัดแปลงจากภาพยนตร์อันดับหนึ่งของประเทศอินโดนีเซีย, ซีรีส์คอมมิดี้ Watch Your Mouth ที่ผลิตในประเทศมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยในแต่ละประเทศจะดำเนินรายการโดยมีพิธีกรตลกชื่อดัง และ iflix ยังร่วมกับ สกอป โปรดักชัน กรุ๊ป (Skop Productions Group) และไวเปอร์ สตูดิโอ (Viper Studio)ของประเทศมาเลเซีย ในการนำภาพยนตร์มาให้สมาชิกได้รับชมหลังฉายในโรงภาพยนตร์ และวางแผนสร้างมินิซีรีส์แบบเอ็กซ์คลูซีฟในอนาคต
นอกจากนั้น ยังวางแผนที่จะสร้าง Original Content ในไทย แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถหาพาร์ทเนอร์ในส่วนนี้ได้
อย่างไรก็ตาม กว่า 2 ปีที่ผ่านมาของ iflix ในไทยถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ว เพราะนับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2558 ขณะนี้มียอดสมาชิกในไทยรวมกว่า 1 ล้านราย มียอด Active หลักแสนต่อเดือน ส่วนยอดรับชมเฉลี่ยถึง 135 นาทีต่อวัน ช่วงเวลาดูมากสุดคือกลางคืน 21.00 – 01.00น. ส่วนมากดูผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตถึง 69% ผ่านหน้าจอคอม 28% และผ่านทีวีเพียง 3% เท่านั้น ทำให้ iflix ตั้งค่าความละเอียดของวิดีโอไว้ที่ 720hd เท่านั้น iflix บอกว่า “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะลูกค้าหลักของเราดูผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต 720hd อาจถือว่าคมชัดมากเกินไปด้วยซ้ำกับอุปกรณ์ที่รองรับ”
ส่วนสถิติในระดับโลกของ iflix คือมีสมาชิกทั้งหมดกว่า 5 ล้านราย มีการชมคอนเทนต์ไปแล้วกว่า 5 พันล้านนาที สมาชิกส่วนใหญ่ชอบดูคอนเทนต์ดราม่า และคอมเมดี้ นอกจากนั้นยังขยายไปกว่า 10 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ศรีลังกา บรูไน มัลดีฟส์ ปากีสถาน เวียดนาม และเมียนมาร์
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา