กระแสของการระดมทุนด้วยวิธี ICO (Initial coin offer) กำลังมาแรงอย่างมากในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และเพิ่งจะเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกหลังทางการจีนออกมาสั่งห้ามการระดมทุนด้วยวิธีดังกล่าวโดยบอกว่ายังไม่มีกฎหมายเข้ามารองรับ ส่วนประเทศไทยก็มีฟินเทคเจ้าหนึ่งนั่นคือ Omise ที่ระดมทุนด้วยวิธีดังกล่าว ในมูลค่า 25 ล้านเหรียญ
ข้อมูลจาก coindesk ระบุว่ามูลค่าการระดมทุนในตลาด ICO ทั่วโลกตอนนี้แตะระดับ 1,600 ล้านเหรียญเข้าไปแล้ว!!
หลายคนยังสงสัยว่าการระดมทุนด้วย ICO มันคืออะไร ถ้าจะสรุปสั้นๆคือ หากฟินเทคหรือสตาร์ทอัพต้องการระดมเงินทุนจากบุคคลใดๆ ก็ตามเพื่อไปพัฒนาธุรกิจหรือสร้างโปรดักต์ใหม่ ก็ทำการออกขายในสิ่งที่เรียกกันว่า Token ซึ่งเป็นเหรียญที่สามารถนำไปใช้แลกเป็น Crypto Currency อื่นๆ อย่าง Bitcoin,Ethereum หรือสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างขึ้นเอง จากนั้นผู้ระดมทุนให้ก็สามารถเก็บ Crypto Currency นั้นๆ ไว้ใช้เอง หรือนำไปเทรดต่อในตลาดซื้อขายก็ได้
วิธีการระดมทุนดังกล่าว ได้รับความนิยมรวดเร็วก็เพราะสามารถเปลี่ยนทุนหรือเงินที่เราลงไปเป็นผลตอบแทนได้แทบจะทันที เรียกได้ว่านำไปใช้เป็นเงินได้เลย หากเทียบกับการระดมทุนในแบบ Venture Capital ที่เราต้องอยู่กับกิจการนั้นๆ หลายปี หรือระดมทุนแบบ Reward Crowd Funding ที่เราต้องรอจนกว่าผู้ที่ได้เงินจากเราไปจะผลิตสินค้าให้กับเราได้
แม้ทางการของหลายๆ ประเทศได้ออกมาแตะเบรคการระดมทุนรูปแบบนี้ และพยายามที่จะเข้ามาควบคุมดูแล แต่สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่าจะไม่สามารถหยุดยั้งกระแสได้ เพราะเทคโนโลยีได้เข้ามาทะลายกำแพงความเชื่อและธรรมเนียมปฎิบัติเดิมๆ ของวงการการเงินโลกไปมากแล้ว ถึงตอนนี้ นักการเงินแบบดั้งเดิม (Traditional) หลายคนที่ผมได้สนทนาด้วยอาจจะยังไม่ Buy Idea เรื่องนี้แบบเต็มร้อย แต่ก็ไม่ถึงกับไม่สนใจเลยเสียทีเดียว
หากเราติดตามสำนักข่าวด้านเศรษฐกิจระดับโลกอย่าง Bloomberg ยังให้ความสำคัญกับ Crypto Currency ถึงขั้นเพิ่มเป็นเมนูใหม่ในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ส่วนวงการเทรดหุ้น เราได้เห็น Forex Broker หลายแห่งเริ่มให้บริการเทรด Bitcoin ได้แล้ว และเริ่มเห็นนักการเงินบางรายหันมาลงทุนในด้าน Crypto Currency อย่างจริงจัง
ปีนี้ มูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลกรวมกันแตะ 1ล้านล้านเหรียญเป็นที่เรียบร้อย โดยเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด แม้ความเห็นส่วนตัวผมมองว่าทั้ง ICO และ Crypto Currency ในไม่ช้าจะถึงจุด “ปรับสมดุล” ตามกลไกตลาด พูดง่ายๆ คือ ราคาอาจจะ Crash ลงมาจนอยู่ในภาวะที่สมเหตุสมผล แต่จะไม่มีหายไปจากโลกนี้แน่นอน
เพราะเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ มันมาตอบสนอง ID และ EGO ของมนุษย์อย่างแท้จริง (ใครเรียนมนุษย์ศาสตร์มาน่าจะพอจำได้) สรุปสั้นๆ คือ มนุษย์ทุกคนต้องการความเป็นอิสระ ไม่ต้องการคนมาควบคุม ไม่ชอบมีคนกลางมาบริหารจัดการ ซึ่งเทคโนโลยีการเงินทั้งหลายมันตอบโจทย์ตรงนี้ ส่วนรายละเอียดลึกๆ ขออนุญาตเล่า ในบทความถัดไปครับ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Related