เมื่อมาตรการเกี่ยวกับการปล่อยมลพิษในประเทศจีนมาถึง รถใช้น้ำมันหลายแสนคัน จึงได้รับผลกระทบอย่างหนัก จอดนิ่งทิ้งไว้เพราะยังขายไม่ออกจนมูลค่าดิ่งลง แต่ในทางกลับกัน หมายความว่า รถยนต์ไฟฟ้าก็ยังมีกำลังผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการด้วยเช่นกัน
กลับมามองมาตรการใหม่ในประเทศจีนที่ว่านี้ ก็ไม่ได้แบนรถยนต์เครื่องสันดาปไปเสียทั้งหมด แต่กำลังพูดถึงการปล่อยมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อม อย่าง Carbon monoxide, Nitrogen oxide ควรถูกลดลงครึ่งหนึ่งหรือลดลงสามในสี่ ซึ่งมาตรการนี้ประกาศล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2016 และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อให้เวลาผู้ผลิตในการเตรียมตัว ผลิตรถยนต์ที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับมาตรการดังกล่าว
ทั้งนี้ ฝั่งผู้ผลิตรถยนต์ วางแผนไว้ว่าจะยังคงขายรถใช้น้ำมัน ไปจนกว่าจะถึงวันเดดไลน์ที่ทางการกำหนดไว้ แต่พอ COVID-19 เข้ามา ยอดขายก็ตกลงอย่างน่าใจหาย ทีนี้จะพยุงยอดขายยังไงดี? ก็เลยเข็น รถยนต์ไฟฟ้าออกมาช่วยกระตุ้นยอดขาย ข่าวดีคือแผนนี้ได้ผล รถยนต์ไฟฟ้ายอดขายพุ่งกระฉูด แต่ข่าวร้าย ยอดขายรถใช้น้ำมันกลับยิ่งถดถอยลงยิ่งกว่าเดิม
ผู้ผลิตเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย ใส่พานลดราคา หวังเสิร์ฟส่วนลดล่อตาล่อใจให้ผู้บริโภค แต่เมื่อมาตรการมันกระชั้นเข้ามาในอีกไม่กี่เดือนแล้ว ผู้บริโภคเองก็ได้แต่นิ่ง เพราะรู้ว่ายิ่งใกล้ถึงเดดไลน์ ราคาอาจจะลดได้มากกว่านี้อีก สัญญาณของมูลค่าที่ลดลงเรื่อยๆ อยู่ไม่ไกล The China Auto Dealers Chamber of Commerce (CADCC) จึงเจรจากับทางการว่า พอจะขยายเวลาออกไปอีกหน่อยได้ไหม จากกรกฎาคมนี้ ขยายไปเป็นเดือนมกราคมปีหน้า เพื่อให้มีเวลาจัดการกับรถยนต์ใช้น้ำมันที่ยังขายไม่ออก และมูลค่ายังคงถดถอยยิ่งขึ้นทุกวัน แลกกับการที่ผู้ผลิตรถยนต์ ต้องหยุดผลิตสินค้าที่ขัดกับมาตรการในเดือนกรกฎาคมนี้ทันที (จากตอนแรกที่จะผลิตไปจนกว่าจะถึงเดือนกรกฎาคม)
ด้วยกฎหมายนี้และมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ ส่งผลให้ตลาดรถไฟฟ้าของจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยหากย้อนกลับไปในปี 2015 ส่วนแบ่งตลาดตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนเพียง 0.84% เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ที่ถือส่วนแบ่งในตลาดเพียง 0.66% แต่ในปี 2022 ที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนกลายเป็น 30% ขณะที่สหรัฐอยู่ที่เพียง 7.2% เท่านั้น
มารอดูกันว่า ฝั่งผู้ผลิตรถยนต์ในจีน จะจัดการอย่างไรกับมูลค่าที่ดิ่งลงเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเดดไลน์ในเดือนกรกฎาคมนี้
อ้างอิง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา