ไม่ต้องมีสาขาเพิ่มก็ได้ HSBC เปลี่ยนวิธีทำงานธนาคาร ให้ตัวแทน 3,000 คนบุกบ้านลูกค้าแทน

ไม่เน้นสาขา จ้างพนักงานที่มีทักษะช่วยจัดการความมั่งคั่ง

ก่อนหน้านี้ HSBC มีข่าวปลดพนักงานกว่า 35,000 รายทั่วโลกเพื่อลดต้นทุนองค์กร ซึ่งเป็นแผนที่ทยอยลดคนเป็นระยะเวลา 3 ปี (2020-2022) แต่ในช่วงเวลาระหว่างนั้น HSBC ก็มุ่งหน้าสู่ธุรกิจที่มีโอกาสใหม่

นั่นคือ HSBC Pinnacle ธุรกิจฟินเทคที่ทำเรื่องการจัดการความมั่งคั่งกำลังรุกหนักธุรกิจอยู่ในประเทศจีน

HSBC บอกว่า เตรียมจ้างพนักงานที่มีทักษะในหมวดนี้ 3,000 คน ทำงานเชิงรุก เข้าหาลูกค้า ไม่ต้องรอให้เข้าสาขา เพราะการทำธุรกิจของธนาคารยุคใหม่ต้องอยู่ทุกที่ (เหมือนคำที่คุณโจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการธนาคารไทยเคยบอกไว้ว่า ธนาคารอยู่ทุกที่ ที่ไม่ใช่ธนาคาร)

วิธีการทำงานของพนักงานจัดการความมั่งคั่งของ HSBC คือการเป็นผู้ที่มีทักษะด้าน wealth management เข้าไปช่วยจัดการบริหารความมั่งคั่งและเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้า ขอแค่มีแท็บเล็ต 1 เครื่องก็สามารถทำงานได้แล้ว

แผนธุรกิจใหม่ของ HSBC ทำให้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มสาขาให้มากนัก แต่เน้นไปที่การจ้างคนที่มีทักษะที่ต้องการได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม HSBC เข้าไปให้บริการในจีนตั้งแต่ปี 1984 มีสาขามากกว่า 160 แห่ง ถือเป็นธนาคารต่างชาติที่มีสาขามากที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่

เกร็ดที่น่าสนใจคือคนนำทีม HSBC Pinnacle ในจีนคือ Trista Sun เป็นผู้บริหารหญิงมากความสามารถ หนึ่งในผู้ผลักดันธุรกิจฟินเทคที่สำคัญของบริษัท

HSBC Bank
HSBC Photo: Shutterstock

ลุยตลาดเอเชีย เพราะอนาคตอยู่ที่นี่

HSBC ประกาศแผนธุรกิจเน้นไปที่การจัดการความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นแผนใหญ่ของธนาคารระยะ 5 ปีในการหารายได้ใหม่ให้กับองค์กร (ในแผนนี้ของ HSBC เพื่อผลักดันธุรกิจอย่างเต็มกำลัง ได้รวมเอาฝ่ายที่ทำเรื่อง retail banking, wealth management และ private banking ไว้ภายใต้ทีม/แผนกเดียวกัน)

ผู้บริหาร HSBC บอกว่า “รายได้ในอนาคตของธนาคารจะมาจากดอกเบี้ยน้อยลง” ดังนั้น จึงต้องหาทางรอดใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ

แผนของ HSBC คือบุกตลาดฝั่งเอเชียโดยเฉพาะจีนมากขึ้นเพราะทวีปเอเชียมีการเติบโตของความมั่งคั่งและร่ำรวยที่สูงรวมถึงมีโอกาสใหม่ๆ อีกมาก หรืออย่างในไทยเอง ข่าวการที่ HSBC เตรียมตั้งธุรกิจ Private Bank ที่ประเทศไทยเป็นแห่งที่ 2 ของอาเซียนต่อจากสิงคโปร์ ถือเป็นหนึ่งในความชัดเจน

HSBC คาดการณ์ว่า คนชั้นกลางในจีนจะกลายเป็นกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหญ่ในอนาคตจะมีจำนวนถึง 600 ล้านรายในปี 2028

ขณะนี้ HSBC มีธุรกิจที่ทำเรื่องการจัดการความมั่งคั่งอยู่แล้ว โดยรายได้กว่าครึ่ง (1.6 ล้านล้านดอลลาร์) มาจากฝั่งทวีปเอเชียเป็นหลัก

ชัดเจนว่า คู่แข่งในจีนด้านการเงินของ HSBC ไม่ได้มีแค่บริษัทต่างชาติอย่าง Goldman Sachs หรือ JP Morgan เท่านั้น เพราะยังมียักษ์ใหญ่อย่าง Tencent (WeChat) และ Alibaba (Alipay) ที่มีบริการทางการเงิน แถมยิ่งใหญ่เสียด้วย เพราะขนาดที่ว่า Alibaba ถูกรัฐบาลเล่นงานหนักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่มูลค่าตลาดของ Alibaba ยังใหญ่กว่า HSBC ถึงประมาณ 5 เท่าตัว

ที่มา – BBC, SCMP

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา