HSBC ชี้มูลค่าของหุ้นไทยเริ่มน่าสนใจ ลุ้นเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาได้อีกหลังอัตราถือครองต่ำสุด

สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ HSBC ได้ปรับคำแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย โดยมองว่า Valuation ของหุ้นไทยน่าสนใจ และได้ลุ้นกับเม็ดเงินต่างชาติที่อาจไหลกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่งด้วย

Bangkok กรุงเทพ
ภาพจาก Shutterstock

บทวิเคราะห์จาก HSBC ล่าสุดได้ปรับน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยมาเป็นเพิ่มน้ำหนักการลงทุนแล้ว โดยสถาบันการเงินจากอังกฤษรายนี้มองว่าหุ้นไทยมี Valuation เริ่มที่จะน่าสนใจ หลังจากที่นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาดัชนี FTSE Thailand ลดลงมาถึง -24.6% ขณะที่ดัชนี FTSET Asia Pacific ex Japan Australia & New Zealand กลับมีผลตอบแทนเป็นบวกถึง 4.3% ไม่เพียงแค่นั้น HSBC ยังมองว่าไทยมีอัตราผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่น้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วย

HSBC ยังมองว่าอัตราส่วน Price to Book (PB) ของหุ้นไทยเฉลี่ยล่าสุดที่ 1.4 เท่า ถือว่าถูกกว่าค่าเฉลี่ย 15 ปีที่ 1.8 เท่า ขณะเดียวกันเมื่อมองไปถึงอัตราส่วนถือครองของกองทุนต่างประเทศล่าสุดถือว่าไทยมีอัตราถือครองจากกองทุนน้อยมาก เนื่องจากล่าสุดเม็ดเงินจากต่างชาติไหลออกจากไทยมากกว่า 2 แสนล้านบาท ทำให้ปัจจุบันมีเพียงสถาบันของไทยที่เป็นผู้เล่นหลักของตลาดหุ้นไทย ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นไทยวิ่งได้เพราะนักลงทุนรายย่อย ทำให้ HSBC คาดว่าเม็ดเงินจากต่างชาติอาจไหลกลับเข้ามาได้ถ้าหากตัวเลขเศรษฐกิจฟื้นตัวมากกว่านี้

ขณะเดียวกัน HSBC ยังได้นำข้อมูลจาก Google Mobility Index มาวิเคราะห์เทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน พบว่าไทยมีอัตราฟื้นตัวดีกว่าประเทศอื่นๆ รวมไปถึงอัตราฟื้นตัวของกำไรของหุ้นไทยที่ HSBC มองว่าอาจฟื้นตัวในทางที่ดีหลังจากมาตรการผ่อนคลายเศรษฐกิจไทย ขณะที่ยังมีมาตรการการคลังและการเงินที่ยังสนับสนุน

อย่างไรก็ดีความเสี่ยงของหุ้นไทยที่ HSBC มองไว้คือเรื่องของภาคการท่องเที่ยวไทยที่เป็นเครื่องยนต์สำคัญที่มีการจ้างงานเป็นอันดับต้นๆ ในภาคเศรษฐกิจ สำหรับ SET Index ในมุมมองของ HSBC กรณีแย่สุดจะอยู่ที่ 1,200 จุด กรณีฐาน 1,520 และกรณีดีสุด 1,780

สำหรับมุมมองประเทศอื่นๆ ในอาเซียนจาก HSBC มองว่าอาเซียนยังมีโอกาสเติบโตจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำอีกระยะ รวมไปถึง Valuation ในหลายๆ ประเทศยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่จะมีความน่าสนใจตรงที่ดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติเข้าได้ดี ขณะที่หุ้นขนาดเล็กจะดึงดูดนักลงทุนในประเทศมากกว่าแต่จะมี Valuation ที่ถือว่าแพง ขณะที่ความเสี่ยงคือเรื่องของค่าเงินของประเทศต่างๆ เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ นโยบายการเงินของธนาคารกลาง และการแพร่ระบาดของ COVID-19 อีกรอบ

ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆ ในอาเซียนที่ HSBC ให้คำแนะนำ

  • สิงคโปร์ – เพิ่มน้ำหนักการลงทุน
  • อินโดนีเซีย – เพิ่มน้ำหนักการลงทุน
  • ฟิลิปปินส์ – ลดน้ำหนักการลงทุนเหลือเท่ากับตลาด
  • มาเลเซีย – เท่ากับตลาด

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
Content Writer ที่สนใจในเรื่องของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศ กลุ่ม TMT (Technology, Media, Telecom) การควบรวมกิจการ (M&A) นโยบายทางเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ รวมถึงสิ่งละอันพันละน้อยทางธุรกิจที่น่าสนใจ