ข่าวรัสเซียบุกยูเครนส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก เกิดการย้ายเงินทุนจากสินทรัพย์เสี่ยงมายังสินทรัพย์เสี่ยงน้อยที่ปลอดภัยกว่า ราคาทองคำและนำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น แล้วนักลงทุนควรปรับพอร์ตอย่างไร วันนี้ K WEALTH จากธนาคารกสิกรไทย มีคำแนะนำมาฝากกัน
ตลาดหุ้นแต่ละภูมิภาคได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน ดูจากสถิติดัชนี MSCI Asia ex Japan เทียบกับ ยุโรป และสหรัฐฯ ในช่วง 30 วันก่อนหน้า (ณ วันที่ 23 ก.พ. 65) จะพบว่าดัชนีที่ได้รับผลกระทบปรับตัวลดลงเรียงจากมากไปน้อย คือ ตลาดหุ้นยุโรป ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นไทย หรือแถบเอเชีย
- หุ้นยุโรป: ได้รับผลกระทบสูง เนื่องจากเป็นคู่ค้าหลักของรัสเซีย มีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 5.1% จากการปรับราคาเพิ่มขึ้นของแก๊ซและน้ำมัน แนะนำว่าควรทยอยขายทำกำไรออกมาก่อน
- หุ้นสหรัฐฯ: ได้รับผลกระทบปานกลาง แต่ยังไม่มีความชัดเจนในการดำเนินนโยบายการเงิน แนะนำว่าสามารถถือต่อได้ แต่ยังไม่ควรซื้อเพิ่ม
- หุ้นไทย: มีแรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และมีข่าวดีจากการเริ่มกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว เป็นจังหวะที่ควรซื้อมากกว่าขาย
- หุ้นจีนและญี่ปุ่น: อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนยังโดดเด่น และราคาหุ้นถูก เป็นจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัว
- กองทุนหุ้นต่างประเทศที่แนะนำ K-CHANGE / K-CLIMATE / K-JP / K-CHINA
- กองทุนหุ้นไทยที่แนะนำ K-STAR, K-BANKING
ตราสารหนี้: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปีมีความผันผวน ส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้โดยรวม มองว่ากองทุนที่มีหุ้นกู้จะน่าสนใจกว่า เนื่องจากอัตราการผิดนัดชำระหนี้มีแนวโน้มลดลง จากผลของเศรษฐกิจที่ค่อยๆกลับมาฟื้นตัว
- หากต้องการลงทุนในตราสารหนี้โดยตรง มองว่าหุ้นกู้น่าสนใจกว่าพันธบัตร เนื่องจากส่วนต่างที่ได้ผลตอบแทนคุ้มกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
- กองทุนตราสารหนี้ที่แนะนำ K-SFPLUS, K-CBOND, K-FIXED
ทองคำและน้ำมัน: ได้รับผลบวกจากวิกฤตนี้ในระยะสั้น
- ทองคำ: แนะนำลงทุน 5-10% ของพอร์ตเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงมากกว่าลงทุนเป็นสัดส่วนหลักของพอร์ต โดยสามารถเก็งกำไรได้ในกรอบ 1,880-1,930 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ แต่ระยะถัดไปราคาทองคำจะถูกกดดันจากนโยบายการเงินของ FED
- น้ำมัน: ทยอยขายทำกำไรในระยะสั้น เนื่องจากราคาอยู่ในจุดที่เลยสมดุลระหว่าง Demand-Supply ซึ่งในระยะถัดไป ราคาจะปรับตัวเข้าสู่จุดสมดุลในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ประกัน Unit Linked
- ผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรสับเปลี่ยนเงินลงทุนมาที่สินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ เพื่อลดความผันผวนของโอกาสรับผลตอบแทน
- ผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย เช่น ไทย จีน ญี่ปุ่นได้ เพื่อโอกาสทำกำไรในอนาคต
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา