ปีหน้าหุ้นผันผวน LH แนะหนีลงทุน RIET-Prop fund ผลตอบแทน 6-7%ต่อปี

ปีหน้าหุ้นไทยและทั่วโลกจะผันผวนมากกว่านี้อีก แล้วรายย่อยจะลงทุนอย่างไรให้มีผลตอบแทนชนะภาวะตลาดล่ะ?

ภาพจาก Shutterstock

บล.แลนด์แอนด์เฮ้าส์? ชี้เทรนด์ปี 2019 หุ้นผันผวน-โลกปั่นป่วน-ลงทุนยาก

มนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า ปี 2019 ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนมาก ปัจจัยหลักมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายของสหรัฐฯ โดยเฉพาะท่าทีรวมถึงคำพูดของ Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐ มักส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกชะลอการลงทุนไว้ก่อน เพราะรอดูความชัดเจนอย่างอื่นเพิ่มเติม ดังนั้นปี 2019 ผลตอบแทนทั่วทั้งโลกอาจจะปรับตัวต่ำลงกว่าปีนี้อย่างมีนัยยะ

ปี 2018 แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้น มูลค่าตลาดใหญ่ขึ้น เพราะมีมาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ทำให้ราคาหุ้น เงินเฟ้อ รวมถึงดอกเบี้ยพันธบัตรของสหรัฐฯ ขยับเพิ่มขึ้นด้วย แต่กลับไม่ส่งผลดีกับคนที่ถือพันธบัตรระยะยาว ในปีหน้ายังจะเห็นสหรัฐฯ ออกพันธบัตรเพิ่มเติม จนทำให้ปี 2020 คาดว่าสหรัฐฯ จะขาดดุลการค้ากว่า 1 ล้านล้านบาท (จากที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ามาตั้งแต่ปี 2011)

“เมื่อดอกเบี้ยพันธบัตรของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ตามสถิติในอดีตจะทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรของสิงคโปร์ ฮ่องกง ฯลฯ ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย”

ภาพจาก Shutterstock

ลงทุนหุ้นมันยาก มาหากองทุน REIT-Propfund ที่มีเงินปันผลดีกว่า (ผลตอบแทน 6-7%ต่อปี)

มนรัฐ บอกว่า เมื่อหุ้นมีความผันผวน การลงทุนในสิ่งที่มีผลตอบแทนสม่ำเสมอ เช่น REIT (กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) PropertyFund (กองทุนอสังหาริมทรัพย์) ที่ตามกฎหมายประเทศไทยต้องจ่ายเงินปันผล 90% ให้นักลงทุน ซึ่งรายได้ที่นำมาจ่ายเงินผันผลจะมีความสม่ำเสมอเพราะมาจากค่าเช่า ฯลฯ เป็นหลัก

“ตั้งแต่อดีตเมื่อ GDP ขึ้น เฟ้อไทยขึ้น Property fund กับ REIT ค่อยๆขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะอัตราการเติบโตค่าเช่าจะเชื่อมโยงกับ GDP และเงินเฟ้อ เมื่อมีกำไร กองทุนเหล่านี้มีนโยบายว่าต้องจ่าย 90% ให้นักลงทุน ดังนั้น Dividend ลงยาก และถ้าดูตัวเลขสหสัมพันธ์ของกองทุนกลุ่มนี้ที่เชื่อมโยงกับปัจจัยในตลาดก็อยู่ในระดับต่ำ เช่น Set 0.15% เชื่อมโยงตลาดโลกไม่เกิน 1% ทำให้เมื่อปัจจัยการเงินอื่นผันผวนก็ได้รับผลกระทบน้อยกว่า”

สรุปคือ ปีหน้าถ้าซื้อ REIT Proerty Fund ค่าเช่าและ Dividend ไม่ค่อยมีโอกาสปรับลดลงและมีโอกาสได้ผลตอบแทนประมาณ 6-7% ต่อปี มากกว่าหุ้น อย่างของไทย SETREIT ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีเฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี

และที่สำคัญ Divident Yield Gap (ส่วนต่างผลตอบแทนของ REIT, Prop Fund เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝาก) ของไทย น่าสนใจเมื่อเทียบกับประเทศอื่นโดยอยู่ที่อย่างไทยอยู่ที่ 4.04% ญี่ปุ่น 4.0% ฮ่องกง 3.9% สิงคโปร์ 3.1% สหรัฐฯ 1.4%

สรุป

หนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนสาย VI หรือคนที่ต้องการผลตอบแทนมั่นคงระยะยาว คือ REIT และ Property Fund เพราะให้ผลตอบแทนในรูปแบบปันผลค่อนข้างสูง อย่าง LH มองว่าจะสูงถึง 6-7% แต่นักลงทุนต้องรู้ก่อนว่าถึงจะได้เงินปันผลแต่ราคาของ 2 กองนี้ก็มีช่วงขาขึ้น-ขาลง ก่อนลงทุนต้องอ่านข้อมูลให้ดีก่อนจะเข้าซื้อไม่ว่าจะกองทุนของประเทศไหน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา