จับเทรนด์ Sharing Economy เปิดบ้านพักส่วนตัวให้เช่า เขย่าตลาด OTA

ธุรกิจ Sharing Economy กำลังมาแรง แม้แต่ธุรกิจโรงแรมก็ต้องปรับตัวให้ทันต่อเทรนด์นี้ มีการคาดการณ์ว่าตลาดจะโต 30% และจะเป็นเทรนด์ของการท่องเที่ยวของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสัมผัสโลคอลที่แท้จริง

Photo : Shutterstock

Sharing Economy เทรนด์ธุรกิจของคนรุ่นใหม่

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เชื่อว่าทุกคนคงได้ยินกับคำว่า Sharing Economy กันเยอะพอสมควร เป็นอีกหนึ่งโมเดลธุรกจิที่มาแรง เป็นการเอาทรัพย์สินที่มาอย่างบ้าน รถยนต์ มาแปรเปลี่ยนเป็นบริการแก่คนทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อ

มีหลายแบรนด์ที่เติบโตจากธุรกิจนี้จนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกมากมายทั้ง Grab, Uber และ Airbnb เป็นต้น เป็นการนำบ้านมาเปิดให้เช่าพักอาศัยแบบชั่วคราว ที่สำคัญคือธุรกิจกลุ่มนี้ได้เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ทำให้ธุรกิจแบบดั้งเดิมได้รับผลกระทบอยู่พอสมควร

ถ้าดูถึงภาพรวมธุรกิจนี้มีการคาดการณ์รายได้ว่ามีถึง 169,000 ล้านเหรียญสหรัฐในสิ้นปี 2018 มีการเติบโตขึ้น 30% ในทุกปี

Photo : Shutterstock

เมื่อเจาะมาในตลาดของธุรกิจเปิดบ้านพักส่วนตัวให้เช่า ที่ผู้นำในตลาดคงหนีไม่พ้น Airbnb ธุรกิจนี้มีการเติบโตมากขึ้นเพราะเทรนด์ของนักท่องเที่ยวยุคนี้เริ่มมองหาการเที่ยวแบบโลคอล ไม่ชอบนอนโรงแรมหรู แต่อยากสัมผัสประสบการณ์ท้องถิ่นจริงๆ อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่าพักโรงแรมเสียอีก กลายเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวที่ต้องจับตามอง โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบการท่องเที่ยวแบบนี้

เมื่อดูข้อมูลผลสำรวจพบว่าในเอเชียแปซิฟิคเป็นภูมิภาคที่เปิดรับกับธุรกิจ Sharing Economy มากที่สุด 81% บอกว่ายอมรับที่จะเช่าที่พัก หรือเปิดที่พักให้คนอื่นเช่า อีกทั้งประเทศไทยยังมีอัตราในการเช่าบ้าน หรือแชร์บ้านให้คนอื่นในอันดับที่ 5 หรือ 85%

เหตุผลที่นักท่องเที่ยวยุคนี้มองหาที่จะเช่าบ้านพักส่วนตัวมากกว่าโรงแรมนั้นมีหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ บ้านพักประเภทนี้มีความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร มีบริการที่โรงแรมไม่มี ได้สัมผัสประสบการณ์คามเป็นอยู่แบบคนท้องถิ่นจริงๆ มีพื้นที่ใหญ่กว่า และราคาไม่แพง

Agoda ก็ยังต้องมาโฟกัสธุรกิจบ้านเช่า

เมื่อเทรนด์การเติบโตของ Sharing Economy ที่มีมากขึ้นทุกปี แน่นอนว่าธุรกิจโรงแรม และธุรกิจ OTA (Online Trvel Agency) หรือเว็บไซต์รับจองที่พักก็เริ่มได้รับผลกระทบไม่น้อย เพราะราคาอาจจะไม่ใช่ส่วนสำคัญเท่าประสบการณ์อีกต่อไป

ทำให้ Agoda มีการปรับตัวยกใหญ่ มีการโฟกัสในธุรกิจกลุ่มบ้านพักให้เช่ามากขึ้น โดยที่ในปี 2016 Agoda มีที่พักที่ไม่ใช่โรงแรมจำนวน 423,500 แห่งทั่วโลก และมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2017 มี 877,070 แห่ง และในปี 2018 มี 1.1 ล้านแห่ง

Photo : Shutterstock

โรเบิร์ต โรเซ็นสไตน์ ผู้ก่อตั้ง และประธานบริษัท Agoda Company บอกว่า

ผลกระทบจาก Sharing Economy ทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีมุมมองการคิดมากขึ้น ทำงานหนักขึ้น ต้องลงทุนการเงิน หาคนมาทำงานที่ตอบโจทย์ และต้องเชื่อกับเทรนด์นี้ว่าจะเข้ามาเปลี่ยนตลาด เชื่อว่าหลายธุรกิจก็ได้เรียนรู้และปรับตัว เพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น

โรเบิร์ตเสริมอีกว่า แต่สิ่งที่ทำให้ Agoda เหนือกว่าคู่แข่งอย่าง Airbnb ก็คือการที่มีบริการที่ครอบคลุมทั้งจองโรงแรมบ้านพักให้เช่ารวมถึงสามารถจองตั๋วเครื่องบินได้ด้วย

ปัจจุบัน Agoda มีที่พักในประเทศไทยรวม 91,230 แห่ง และมีที่พักที่ไม่ใช่โรงแรม (Non-hotel accommodation หรือ short-term rental) 19,180 แห่ง เป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปี 2016 ที่มี 6,000 แห่ง

โดยที่ 5 จุดหมายปลายทางที่มีที่พักที่ไม่ใช่โรงแรมมากที่สุด คือ พัทยา ภูเก็ต กรุงเทพฯ หัวหิน/ชะอำ และเกาะสมุย

ส่วน 5 ประเทศที่คนไทยเลือกจองที่พักที่ไม่ใช่โรงแรมมากที่สุด คือ ไทย จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

สรุป

ธุรกิจ Sharing Economy มีบทบาทสำคัญในสังคมปัจจุบันอย่างมาก เพราะตอบรับกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ แต่ในประเทศไทยดูเหมือนยังเป็นธุรกิจใหม่ และทางรัฐบาลยังไม่เปิดรับอยู่พอสมควร อาจจะต้องใช้เวลาในการสร้างการรับรู้ เชื่อว่าจะมีการเติบโตมากขึ้นในอนาคต

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา