ทิ้งระยะจากตอนแรกไปพอสมควรกับ ผู้จัดการกองทุน “เฮดจ์ฟันด์” กำลังตกงานเพราะ A.I (ตอนที่ 1) ใครจำไม่ได้ย้อนกลับไปอ่านใหม่ ยังไม่ช้าเกินไปแน่นอน แล้วมาต่อกันตอนที่ 2
กระแสของเทคโนโลยีที่เข้ามาแทนที่บุคลากรทางด้านการเงินการลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund Manager) ยังต้องปรับตัวด้วยการพัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มากขึ้น รวมถึงเริ่มถ่ายโอนภูมิปัญญาและทักษะลงไปใน A.I โดยใช้เทคโนโลยี Machine Learning ให้เกิดการพัฒนาต่อยอดด้วยตัวเอง
แม้กระทั่งผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับพระกาฬอย่าง Paul Tudor Jones (เขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาหลังปรากฎการณ์ Black Monday ปี 1987 และติด 20 อันดับแรกของผู้จัดการกองทุนที่ดูแลสินทรัพย์มากที่สุด) เริ่มสนใจเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ด้วยการเข้าลงทุนในกองทุน CargoMetrics Fund ซึ่งมีฐานอยู่ในเมืองชิคาโก้ ที่สำคัญคือ มีผู้สนับสนุนเบื้องหลังคือ Eric Schmidt ประธาน Google จุดประสงค์เพื่อพัฒนากลยุทธ์การลงทุนใหม่ๆ นอกเหนือจากการใช้วิธีแบบดั้งเดิม (Traditional)
แม้แต่ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุน Renaissance Technology อย่าง Howard Morgan ก็ยังตั้งฟินเทคอย่าง Numerai ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดรับกลยุทธ์การลงทุนในเฮดจ์ฟันด์ใหม่ๆ ที่พัฒนาโดย Developer อิสระ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับโลกให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากเพียงใด ถึงขั้นมีคำกล่าวว่า
“ไม่มีมนุษย์คนไหนทำงานได้ดีกว่าเครื่องจักร และไม่มีเครื่องจักรใดทำงานได้ดีเท่าเครื่องจักรที่ทำงานกับมนุษย์”
Eric Schmidt ยังกล่าวในงานสัมนาของบรรดาเฮดจ์ฟันด์ด้วยว่าอนาคตของการซื้อขายหุ้น น่าจะมีเพียงแค่สองแนวทางคือ มนุษย์ต้องสอบถามหุ่นยนต์ว่าจะลงทุนอย่างไร หรือไม่ก็ต้องพึ่งพาหุ่นยนต์ให้ลงทุนแทนให้ไปเลย
ทางด้าน Babak Hodjat ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนา Siri ได้บอกว่านักการเงินทางฝั่ง Wall Street กำลังหวั่นไหวต่อการเกิดขึ้นของกองทุนเฮดจ์ฟันด์จากฝั่งตะวันตก หรือ Silicon Valley ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI อย่างเต็มรูปแบบ พวกเขามีความเชื่อว่าการเทรดหุ้นคือ 1 ใน 10 ผลงานที่ AI สามารถทำได้ดีกว่ามนุษย์ เหตุผลหลักคือ ระบบสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากกว่ามนุษย์ที่มีอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง
นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลจากฝั่ง Silicon Valley ต่างแสดงความมั่นใจว่าผลงานของพวกเขาสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดีกว่านักการเงินจาก Wall Street ถึงขั้นมีการว่าจ้างให้บันทึกและจดจำ Logic การลงทุนของผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์แบบดั้งเดิมเพื่อนำไปต่อยอดพัฒนาเป็น Quant Hedge Fund ในอนาคต
ปัจจุบันกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใช้กลยุทธ์ลงทุนแบบ Quant มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมามีอัตราการเติบโตของขนาดกองทุนถึง 8 เท่า โดยสิ้นปี 2016 มีขนาดสินทรัพย์รวมกันว่า 918,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญและสำนักวิจัยทางด้านการเงินได้พยากรณ์ว่าผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์น่าจะเริ่มผันตัวเองมาพัฒนาเทคโนโลยี AI ,Quant และ Machine Learning เพื่อพัฒนากลยุทธ์การลงทุนมากยิ่งขึ้น
หมายเหตุข้อมูลประกอบการเขียนบทความมาจาก Bloomberg,Financial Time ส่วนบทความในตอนต่อไป เรามาดูว่า “ผลงาน” ของ Quant Hedge Fund สามารถทำได้ดีกว่าการตัดสินใจของมนุษย์กันสักเท่าไร
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา