“ธุรกิจเหล็กสหรัฐ” ผู้ชนะใน Trade War เพราะยอดขาย-กำไรพุ่งเกือบเท่าตัว

ใครๆ ก็กังวลเรื่อง สงครามการค้า หรือ Trade War จนเกิดผลกระทบเชิงลบมากมาย ตั้งแต่ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (EM) ราคาตกวูบ ไหนจะผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าในกลุ่มซัพพลายเชนของประเทศจีน ทว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ

ภาพจาก shutterstock

ธุรกิจเหล็กในสหรัฐ ยอดขาย-กำไรพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์

หลังจาก Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐ จุดประกายสงครามการค้า โดยประกาศมาตรการทางภาษีการนำเข้าเหล็ก ก็ส่งผลให้ราคาเหล็กพุ่งสูงขึ้น ปัจจุบันราคาเหล็กของสหรัฐฯ อยู่ที่ 917 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้น 41% เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี (ข้อมูลจาก S&P Global Platts)

ซึ่งผลดีไปตกอยู่กับธุรกิจเหล็ก อย่างบริษัท Reliance Steel & Aluminum (RS) ยอดขายเพิ่มสูงขึ้น 18% (เพราะราคาเพิ่มสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาอื่น) และ Nucor (NUE) บันทึกว่าไตรมาส 2 ปีนี้มีรายได้สูงสุด ซึ่งเติบโตเกือบเท่าตัว

ภาพจาก shutterstock

ล่าสุดเมื่อเดือนก่อน John Ferriola CEO ของ Nucor ยังบอกกับนักวิเคราะห์ว่า เขามีความสุขมากๆ กับมาตรการทางภาษีที่ออกมา โดยเตรียมเงินอีก 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อลงทุนขยายธุรกิจ

“อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศของเรา ถ้าระบบการค้ายังเดินหน้าต่อไปแต่เป็นการค้าที่ไม่สมดุล (Imbalance) เราเลยเห็นด้วยกับคณะรัฐบาลที่พยายามแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้” Ferriola บอก

ส่วนหลายคนก็จับตาดูผลประกอบการของบริษัท NUE, RS, AK Steel (AKS), และ US Steel (X) ที่จะออกมาภายในสัปดาห์นี้

ภาพจาก shutterstock

บริษัทในสหรัฐฯ ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบจาก Trade War

แต่ไม่ว่าอย่างไร กำแพงภาษีของสหรัฐฯ ก็ส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทฯ กว่าร้อยบริษัท เช่น Harley-Davidson (HOG), General Motors (GM), General Electric (GE), 3M (MMM) ฯลฯ ที่ต้องเร่งปรับตัวทั้งเรื่องราคา และโครงสร้าง ซัพพลายเชนที่มีอยู่

ส่วนบริษัท FJM Ferro (อยู่ที่บลูคลิน) ที่ใช้เหล็กแปรรูปในการสร้างตึกสูงใน Manhattan ได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบด้านเหล็กเพิ่มสูงขึ้นกว่า 50% ซึ่งเขามองว่าผลกระทบส่วนใหญ่จะไปตกอยู่กับบริษัทขนาดเล็ก

ภาพจาก shutterstock

ด้านบริษัทใหญ่ๆ อย่าง GM ถึงขนาดปรับลดคาดการณ์กำไรของปีนี้ลง และเตือนว่า ต้นทุนของสินค้าโภคภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับราคาเหล็ก และอลูมิเนียมที่สูงขึ้นอาจเพิ่มต้นทุนถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Philip Gibbs นักวิเคราะห์ธุรกิจเหล็ก KeyBanc Capital Markets บอกว่า เราต้องระมัดระวังเรื่องภาษีมากๆ เพราะเป็นต้นทุนหลักที่เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจในสหรัฐฯ มีความสามารถในการแข่งขันลดลง และแน่นอนว่าหลายบริษัทจะหาลู่ทางนำเข้าเหล็กจากประเทศอื่น

“มันก็รู้สึกดีที่ระยะสั้นเราเห็นราคาขยับขึ้น แต่สุดท้ายเราก็ต้องเจอการบ่นของลูกค้าอยู่ดี”

ภาพจาก shutterstock

สัปดาห์นี้ตลาดต้องจับตามองอะไรกันบ้าง?

  • วันจันทร์ (30 ก.ค.) รายได้ของบริษัท Caterpillar (CAT)
  • วันอังคาร (31 ก.ค.) GDP ไตรมาส 2/61 ของภูมิภาคยุโรป, รายได้ของบริษัท Pfizer (PFE), Procter & Gamble (PG) และ Apple (AAPL) 
  • วันพุธ (1 ส.ค.) รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed), รายได้ของบริษัท Humana (HUM), Sprint (S) และ Tesla (TSLA)
  • วันพฤหัสบดี (2 ส.ค.) การประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE), รายได้ของบริษัท Berkshire Hathaway (BRKA), Yum Brands (YUM) และ Aetna (AET)
  • วันศุกร์ (3 ส.ค.) อัตราการจ้างงานสหรัฐ, รายได้ของบริษัท Kraft Heinz (KHC) และ Toyota (TM) 

สรุป

Trade war ส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจทั่วโลก แต่ธุรกิจเหล็กในสหรัฐฯ กลับได้ประโยชน์ เพราะราคาเหล็กที่พุ่งสูงขึ้นทำให้รายได้กับยอดชายเพิ่มขึ้นไปด้วย แต่ในระยะยาวนักวิเคราะห์มองว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อยู่ดี คงต้องรอดูว่า Trump จะเพิ่มมาตรการทางภาษีอะไรเพิ่มในช่วงที่เหลือของปี

ที่มา CNNMoney

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา