Hang Seng TECH Index ดัชนีแห่งอนาคต | BI Opinion

ในวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทางตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงได้มีการเปิดตัวดัชนีใหม่ที่รวมหุ้นเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นฮ่องกง 30 หลักทรัพย์เข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือดัชนี Hang Seng TECH Index วันนี้เรามาทำความรู้จักกับดัชนีนี้ให้มากขึ้นกันดีกว่าครับ

ก่อนอื่นขอท้าวความสักเล็กน้อย เมื่อพูดถึงตลาดหุ้นฮ่องกงเราจะนึกถึงดัชนี Hang Seng เป็นอย่างแรก ในอดีตดัชนีนี้เป็นหนึ่งในดัชนีที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เนื่องจากดัชนี Hang Seng เป็นดัชนีที่รวมหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินไว้อย่างมากมาย โดยมูลค่าตลาดของดัชนีมากกว่าครึ่งมาจากกลุ่มสถาบันการเงินเพียงอย่างเดียว การที่ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชียและการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระดับมหัศจรรย์มาอย่างยาวนาน จึงส่งผลให้ดัชนี Hang Seng เป็นที่นิยมมาโดยตลอด

แต่ในช่วง 4 – 5 ปีหลังที่ผ่านมา หลายๆ อย่างได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เศรษฐกิจจีนที่ถึงแม้จะยังเติบโตได้ดีอยู่มากแต่อัตราการเติบโตก็ลดลงอย่างต่อเนื่องตามฐานเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่มากเป็นอันดับ 2 ของโลก ทำให้นักลงทุนเริ่มลดความนิยมการลงทุนในหุ้นสถาบันการเงินลงไปมาก แต่หุ้นกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาและได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีกหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ไปทั่วโลกนั่นคือหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี

การที่ดัชนี Hang Seng ประกอบไปด้วยหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินในสัดส่วนที่มาก นอกจากจะได้รับความนิยมที่ลดน้อยลงตามลำดับ ภาพลักษณ์ของดัชนีก็ดูไม่ทันสมัยเอามาก ๆ เลยด้วย ทำให้ไม่สมกับฐานะการเป็นศูนย์กลางด้านการเงินของเอเชีย ทางตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงหรือที่รู้จักกันในนาม HKEX จึงได้ออกดัชนีใหม่ที่เป็นดัชนีรวมหุ้นเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นฮ่องกง 30 อันดับแรกไว้โดยใช้ชื่อว่า Hang Seng TECH Index และได้เริ่มซื้อขายเป็นวันแรกในวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรกก็น่าจะเป็นหุ้นที่ท่านผู้อ่านคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี นั่นคือ Alibaba, Tencent, Meituan Dianping, JD และ NetEase

ในวันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2020 ดัชนีตัวใหม่นี้ปิดไปที่ 7,038.26 จุด ท่านผู้อ่านอาจจะงงว่า ดัชนีตัวนี้เพิ่งเปิดตัวมาได้เพียง 3 สัปดาห์เศษ แต่ทำไมดัชนีถึงมาอยู่ที่ระดับ 7,000 จุดแล้ว ผมขออธิบายให้ฟังว่า ทางตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงใช้จุดเริ่มต้นของดัชนีที่ 3,000 จุด และใช้ราคาของหุ้นต่างๆ ในดัชนี ณ วันสิ้นปี 2014 แสดงให้เห็นว่าในระยะเวลา 5 ปีกับอีก 7 เดือนครึ่งที่ผ่านมา ดัชนี Hang Seng TECH Index มีการเติบโตขึ้นแล้วมากกว่า 1 เท่าตัว ถ้าคิดเป็นผลตอบแทนรายปีจะอยู่ที่ 16.37% ต่อปีเลยทีเดียว ถือว่าสูงมากเพราะ 5 ปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกได้ผ่านการปรับตัวลดลงแรงๆ มาแล้วถึง 3 ครั้งในปี 2015 2018 และ มีนาคม 2020 และถ้าเอามาเทียบกับดัชนี Hang Seng ในช่วงเวลาเดียวกัน จะให้ผลตอบแทนเพียงแค่ 1.16% ต่อปีเท่านั้น

ถ้ามาดูผลตอบแทนนับตั้งแต่เข้าปี 2019 จนถึงล่าสุด ดัชนี Hang Seng TECH Index ให้ผลตอบแทนสูงถึง 54.80% ต่อปี ขณะที่ดัชนี Hang Seng ให้ผลตอบแทนติดลบ -1.58% ต่อปี ต่างกันมากเลยทีเดียวครับ

ท่านผู้อ่านคงอยากจะทราบต่อว่า แล้วถ้าเอาไปเทียบกับดัชนี Nasdaq 100 ที่มีหุ้นเทคโนโลยีอยู่ค่อนข้างมากจะได้ผลตอบแทนต่างกันมากน้อยเพียงไหน มาดูกันต่อเลยครับ

ในช่วงเวลา 5 ปี 7 เดือนครึ่ง ดัชนี Nasdaq 100 ให้ผลตอบแทนที่สูงมากถึง 18.80% ต่อปี และผลตอบแทนตั้งแต่ปี 2019 จนถึงล่าสุด อยู่ที่ 41.79% ต่อปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหุ้นเทคโนโลยีจีนมาแรงกว่าในช่วงปีหลังๆ รวมถึงการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยีของจีนได้เป็นอย่างดี

จากผลตอบแทนที่โดดเด่นของหุ้นเทคโนโลยีจีนที่ดีไม่แพ้ของฝั่งสหรัฐฯ เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะมีกองทุนทั้งแบบ Active และ Passive (ETF) ที่จะลงทุนโดยมีดัชนี TECH ตัวใหม่นี้เป็นดัชนีอ้างอิง โดยเฉพาะดัชนีแบบ ETF ซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าไปในหุ้นที่อยู่ในดัชนีเหล่านี้มากขึ้นเช่นเดียวกัน

กระแสการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เป็นที่นิยมมาหลายปีแล้ว และได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีกในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นธุรกิจแห่งอนาคต บริการของบริษัทมีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน มีกระแสเงินสดแข็งแกร่งมาก และเติบโตได้ เรียกได้ว่าเข้าข่ายคุณลักษณะของหุ้นคุณภาพสูงทั้งหมด แต่จากนี้ไป เราต้องไม่ลืมว่าหุ้นเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งและเติบโตได้ดีไม่ได้มีเพียงแต่หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เท่านั้น บริษัทเทคของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงก็มีคุณลักษณะที่ดีไม่แพ้กัน การกระจายการลงทุนไปในหุ้นเทคโนโลยีจีนถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ถึงแม้ว่าปัจจุบันอาจจะยังไม่ได้มีกองทุนที่ไปลงทุนในดัชนี Hang Seng TECH Index โดยตรง แต่เชื่อว่าอีกไม่นานคงจะมีแน่และน่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีครับ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา