Grab ไม่กลัวคู่แข่งจากอินโดนีเซียบุกไทย ชี้ข้อดีช่วยทำตลาดโต แถมได้กดดันรัฐบาล พร้อมอัดพันธมิตรบิ๊กเนมใส่โปรแกรม GrabRewards สร้างจุดเด่นต่างจากรายอื่น
รับน้องใหม่ด้วยลอยัลตี้โปรแกรม สร้างความแตกต่างไปเลย
ใกล้คลอดเต็มทีแล้วสำหรับการบุกตลาดของ GoJek ในประเทศไทย ที่เข้ามาทำตลาดร่วมกับ GET! บริการเรียกรถสัญชาติไทย หลายคนจับตามองตลาดนี้ว่าการแข่งขันจะไปทิศทางใด จะดุเดือดแค่ไหน เพราะ Grab จะไม่ได้ผูกขาดเหมือนหลายเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ Uber ถอยทัพจากตลาดอาเซียนไป
การเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ก็ดูเหมือนจะสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับ Grab ไม่น้อย เพราะว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเจอเรื่องราวดราม่าค่อนข้างเยอะเหมือนกัน
แต่ด้วยบริการเรื่องเดินทาง การขนส่งที่ดูเหมือนจะใกล้เคียงกัน อาจจะทำให้ผู้บริโภคปันใจไปลองน้องใหม่ได้ ทำให้ Grab ลุยหนักเรื่อง Loyalty Program ที่หวังจะมัดใจลูกค้าให้อยู่กับ Grab ต่อไป
โปรแกรม GrabRewards ได้เริ่มเปิดตัวเมื่อปลายปี 2559 ตอนนี้ก็เกือบ 2 ปีได้แล้ว เป็นการสะสมคะแนนจากการใช้จ่าย ทุก 10 บาทจะเปลี่ยนเป็น 1 คะแนน แล้วสามารถนำคะแนนมาแลกสิทธิพิเศษจากพันธมิตรได้
แต่ล่าสุดได้ทำการปรับโฉมใหม่เป็นรูปแบบ Rewards Marketplace จับมือกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่ในหลายๆ กลุ่มธุรกิจเพื่อให้ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค
ธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า
“GrabRewards จะเป็นตัวที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้ ตอนนี้บอกได้ว่าเราเป็นเจ้าเดียวที่ทำ และมีพันธมิตรเยอะ มี Speacial Deal ให้พาร์ทเนอร์รายใหญ่อยู่ตลอด เราเลยต้องรีบวิ่งก่อนเขา ซึ่งโปรแกรมนี้ทำให้ลูกค้าที่ยังไม่เคยใช้ได้เห็นว่าใช้แล้วได้ประโยชน์ ส่วนลูกค้าที่ใช้อยู่แล้วจะได้ใช้มากขึ้น”
การปรับโฉมของ GrabRewards ในครั้งนี้ เป็นการจับมือพันธมิตรให้ครอบคลุมกิจกรรมที่คนใช้ทุกวัน ได้แก่ กลุ่มอาหารเครื่องดื่ม บันเทิง ท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง บริการ และ Limited edition ดึงพาร์ทเนอร์รายใหญ่ๆ ทั้ง S&P, Major Cineplaex, นกแอร์, Sephora และ Shopee เป็นต้น
จากที่แต่เดิมเน้นสิทธิประโยชน์แค่กลุ่มของอาหารและเครื่องดื่ม มีสัดส่วนถึง 95% และพบว่ามีร้านอาหารเยอะเกินไป และส่วนใหญ่คนไม่ค่อยรู้จัก เลยเลือกที่แบรนด์ใหญ่ๆ คนรู้จักมากขึ้น
คู่แข่งมา ช่วยทำตลาดโต
สำหรับการมาของ GoJek แอพพลิเคชั่นเรียกรถจากอินโดนีเซีย ที่มีบริการคล้ายคลึงกับ Uber และ Grab เลยนั้น ธรินทร์ได้เสริมว่าการที่คู่แข่งเข้ามาเพิ่มเป็นเรื่องที่ดี ไม่ได้กลัวด้วยซ้ำ เพราะยิ่งทำให้ตลาดเติบโตขึ้นไปอีก
“ข่าวที่ว่า GoJek จะเข้ามาทำตลาดในไทย เราบอกได้แค่ว่าก็คงก้มหน้าทำสิ่งที่ทำให้ดีที่สุดของเราต่อ เพราะสมัยที่ผมเคยอยู่ Lazada แล้วมีแบรนด์อื่นอย่าง 11Street หรือ Shopee เข้ามา ก็มองว่าคู่แข่งเข้ามาเป็นสิ่งที่ดี เพราะช่วยทำให้ธุรกิจเติบโตเร็วขึ้น ทำให้ตลาดฉีกตัว สร้างพฤติกรรมให้ผู้บริโภคเข้าใจธุรกิจ มีการตอบรับมากขึ้น
…แต่ละรายมีพอร์ตฟอลิโอที่ต่างกัน ลูกค้าก็จะได้รู้ว่าแต่ละเจ้ามีความแตกต่างกันอย่างไร ถึงตอนนั้นลูกค้าก็จะเลือกเองว่าจะใช้อะไร ทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกเยอะขึ้น”
อีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญคือช่วยกัน “กดดันรัฐบาล” ได้ ทำให้ได้เห็นข้อดีของธุรกิจ Ride Sharing ซึ่งในไทยยังไม่ได้รับกฏหมายของธุรกิจนี้เลย มีปัญหาดราม่ากันมาหลายปี แม้จะทำตลาดในไทยมานานแล้วก็ตาม
ต้องเป็น Super App ในอนาคต
ปัจจุบัน Grab ทำตลาดทั้งหมด 8 ประเทศในอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ไทย เวียดนาม เมียนมาร์ และกัมพูชา ครอบคลุม 225 เมือง มีการขยายอย่างรวดเร็ว โดยที่เมื่อต้นปียังทำตลาดไม่ถึง 200 เมือง
มียอดดาวน์โหลดรวม 100 ล้านครั้ง ส่วนในไทยมียอดดาวน์โหลด 6 ล้านครั้ง มีการเดินรถรวม 2,000 ล้านรอบแล้วในปัจจุบัน มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 1,000 ล้านรอบเมื่อตอนปลายปีที่ผ่านมา
ตอนนี้ Grab ไม่ได้โฟกัสแค่ธุรกิจรับ–ส่งคนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ขยายให้ครอบคลุมทั้งอาหาร ส่งของ แบ่งเป็น 6 ธุรกิจด้วยกันได้แก่
- Transport ธุรกิจรับ–ส่งคนทั่วไป ทั้ง GrabCar, GrabTaxi, JustGrab, GrabBike
- Delivery บริการรับส่งของโดย GrabExpress มีทั้งรถจักรยานยนต์ รถยนต์ และรถปิ๊กอัพ
- Payment แพลตฟอร์มชำระเงินโดย GrabPay
- FoodDelivery บริการส่งอาหารโดย GrabFood
- Business Solutions โดย Grab for Business
- Rewards ลอยัลตี้โปรแกรมโดย GrabRewards
ธรินทร์ได้ปิดท้ายว่า มองภาพ Grab ในอนาคตว่าอยากเป็น All In One App ต้องการเป็นแพลตฟอร์มให้ลูกค้าได้ใช้เวลากับ Grab ได้ทั้งวัน และให้พาร์ทเนอร์ทำการตลาดผ่านแพลตฟอร์มได้
สรุป
ดูท่าการเข้ามาของน้องใหม่จะทำให้ตลาดมีสีสันขึ้นอย่างแน่นอน แค่เตรียมตัวทำตลาดก็ทำให้ Grab ถึงกับตั้งท่ารับน้องแล้ว ซึ่งเป็นการดีที่ทำให้ตลาดมีการแข่งขัน ต้องจับตาดูอีกว่าจะมีหมัดเด็ดอย่างไรในตลาดบ้าง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา