บัตรกู๊ดฮู้ดๆ ที่เขากดกันช่วงนี้ มันคืองานอะไรกัน?

‘Good Hood’ คืองานอีเวนต์ประจำปีที่รวมทั้งร้านค้า ดนตรี อาหาร เครื่องดื่ม และดีเจมากมาย จนเกิดเป็นคอมมูนิตี้อันแข็งแกร่งที่สามารถจัดงานมาถึงปีนี้เป็นปีที่ 6 แล้ว
แม้บางคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อ Good Hood มาก่อน แต่ในครั้งล่าสุดที่จัดงาน มีผู้เข้าร่วมมากถึง 19,352 คนเลย และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากเปิดขายบัตรพรีเซลล์ไปไม่นาน คนก็เข้ามาแย่งกันกด จนเว็บไซต์แทบรับไม่ไหวด้วยซ้ำ
หากมาดูรายได้ย้อนหลังของ ‘บริษัท กู๊ด ฮู๊ด แอนด์ เฟรนด์ จำกัด’ จะเห็นเลยว่ามีการเติบโตขึ้นทุกปี โดย
- 2021: 92,906 บาท
- 2022: 4.8 ล้านบาท
- 2023: 10.4 ล้านบาท
- 2024: 13.4 ล้านบาท
เคล็ดลับการจัดงานอีเวนต์ของ Good Hood คืออะไร? ทำไมคนถึงต้องตั้งตารอกันทั้งปีเพื่องานนี้งานเดียว? มาดูกัน
คน 4 คน มาอีเวนต์เดียวกัน แต่ทำคนละหน้าที่ จนเกิดเป็น Good Hood

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจาก 7 ปีที่แล้ว เมื่อ ‘โบลิ่ง-ภัทราพร อร่ามเสรีวงศ์’ ได้เข้าไปเป็นแม่ค้าขายของในงานอีเวนต์หนึ่ง ซึ่งจัดโดย ‘มะนาว-พรรษพร ลี้อิสสระนุกูล’
ขณะเดียวกัน ในงานอีเวนต์นั้นเอง ก็ยังมี ‘เอ็น-ชนิกานต์ ทรงธีระปัญญา’ รับบทเป็นพิธีกร ขณะที่ ‘สตางค์-แสนสิริ ศิริพรเลิศกุล’ เป็นคนช่วยจัดไฟ
และเชื่อหรือไม่? ชื่อทั้งหมดที่พูดมานี้ คือ ‘ผู้ก่อตั้ง’ ทั้ง 4 คนของ Good Hood
โบลิ่งเล่าภายในงาน The Secret Sauce Summit 2025 ว่า พอจบงานอีเวนต์นั้น พวกเขาก็ค้นพบถึงความสนุกของการเจอผู้คน และได้รู้ว่าในไทยยังมีแบรนด์ท้องถิ่นดีๆ อีกเยอะ เลยเกิดเป็นไอเดียว่า งั้นเรามาทำอีเวนต์ด้วยกันไหม?
เดิมที พวกเขาตั้งใจจะจัดงานแค่ในสเกลเล็กๆ เท่านั้น เพราะไม่เคยทำมาก่อน แต่เมื่อ ‘สตางค์’ เสนอสถานที่แห่งหนึ่งมา ซึ่งมันสวยมากๆ สุดท้าย พวกเขาจึงเลือก ‘โกดังเสริมสุข’ เป็นโลเคชันจัดงานในทุกๆ ปีจนถึงปัจจุบัน
“มันเกินตัว แต่ว่ามันไปได้ เหมือนว่าเพราะว่าเราไม่เคยคิดว่าถ้าเราทำไป แล้วมันจะเป็นแบบไหน เพราะเราไม่เคยทำมาก่อน ก็เลยลุยเลย เพราะว่าไม่รู้ว่ามันจะแย่ไหม แค่ว่า เออ มันน่าจะสนุกมากแน่เลย” โบลิ่งกล่าว
อยากเป็นพื้นที่ให้คนมาเจอกัน เติบโตไปด้วยกัน

แล้วจุดเด่นของ Good Hood คืออะไร? งานอีเวนต์ที่มีดนตรี อาหาร ร้านค้าแบบนี้ก็มีอยู่ถมไปหรือเปล่า? แถมบางงานยังฟรีด้วยซ้ำ
จริงๆ แล้ว เสน่ห์ของ Good Hood คือ ‘พลังของคอมมูนิตี้’ ยังไงล่ะ
สำหรับโบลิ่งแล้ว จุดประสงค์ของ Good Hood คืออยากเป็นพื้นที่ให้คนมาเจอกัน เพราะอย่างร้านค้าออนไลน์เอง ก็ไม่ค่อยมีโอกาสพบปะลูกค้าตัวเป็นๆ สักเท่าไร
โบลิ่งเชื่อว่า หากเราได้เจอกันมากขึ้น ก็จะยิ่งรู้จักคนเพิ่มเป็นทอดๆ จนสามารถเกิดเป็นการช่วยเหลือแบบพึ่งพาอาศัย ทำให้เติบโตไปด้วยกัน
ซึ่งพลังของคอมมูนิตี้ที่ว่าเริ่มจากการที่ Good Hood เลือกร่วมงานกับคนที่พร้อมจะโตไปกับองค์กร หรืออย่างวงดนตรีเอง พวกเขาก็พยายามเลือกวงหน้าใหม่ๆ เข้ามา ทำให้พอถึงวันงาน ทุกคนกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จนเกิดเป็นชุมชน
“พอเราได้หมุนมาเป็นคนตรงกลางมากขึ้น เราก็รู้แล้วว่าเราอยากได้อะไร มีบางอย่างที่เราทำได้ดี และบางอย่างที่เราทำได้ไม่ดี ผมว่าเราใช้พลังของคอมมูนิตี้ตรงนี้เลือกใครบางคนที่เขาเก่ง ถ้าเราอยากได้ระบบขายบัตรที่ดี ใครสักคนนึงทำได้ไหม? เราอยากได้ตู้ถ่ายรูปที่ดี ใครสักคนนึงทำได้ไหม? แล้วก็ชวนเขามาเป็นอีกหนึ่งขา” สตางค์อธิบาย
ในมุมมองของสตางค์ แม้ผู้ก่อตั้ง Good Hood อาจจะไม่ใช่ ‘ผู้สื่อสาร’ ที่ดีที่สุด แต่พวกเขาสามารถเป็นโครงสร้างที่ดี เพื่อให้ ‘เพื่อนๆ’ อย่างพ่อค้าแม่ค้าและนักดนตรี เข้ามาทำสิ่งดีๆ ภายในงาน แล้วส่งต่อสิ่งที่ต้องการสื่อสารออกไปได้
เป็นตัวของตัวเอง แต่ต้องฟังคนอื่นด้วย

อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Good Hood กลายเป็นคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ก็เป็นเพราะ ‘ความเป็นตัวเอง’ ของผู้ก่อตั้งทั้ง 4 คน
สตางค์อธิบายว่า เมื่อเราเป็นตัวเองมากๆ และคนรอบตัวเข้าใจเรา เดี๋ยวพลังของการพูดปากต่อปากก็จะแสดงผลเอง ทำให้ทุกคนที่มา Good Hood มาเพราะอยากมาจริงๆ ไม่ได้ฝืน เสมือนเป็นการบอกว่า เราอยากมาที่นี่เพื่อเจอคนที่มีแนวคิดเดียวกันนะ
“ในยุคนี้ การทำธุรกิจมันไม่ยากเลย เพราะว่าใครๆ ก็ทำได้ และทุกอย่างมันเข้าถึงง่ายมากๆ แต่ว่า Core Idea หรือว่าจุดแข็งของธุรกิจมันคือการเป็นตัวของตัวเอง เหมือนพอเราเป็นตัวเอง เราก็จะทำทุกอย่างได้เต็มที่ ไม่ฝืน มันก็แค่เป็นตัวเอง แล้วทุกคนก็จะค่อยๆ เข้าใจเรามากขึ้น” โบลิ่งกล่าว
อย่างไรก็ตาม การจะสำเร็จได้ต้องบาลานซ์เรื่องความเป็นตัวเองกับการรับฟังผู้อื่นด้วย โดยสตางค์อธิบายว่า ต้องชั่งน้ำหนักให้ดี เพราะ Good Hood ทำงานกับคนจำนวนมาก และถ้าใส่ตัวตนของตนเองมากเกินไป บางทีมันอาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้เข้าร่วมงานหรือพาร์ทเนอร์คนอื่นๆ ต้องการ
ด้านโบลิ่งก็บอกว่า Good Hood เป็นทีมงานที่ “ใส่ใจมากกว่าใส่เงิน” และจะรู้สึกเฟลมากๆ หากเห็นคนในงาน ทั้งร้านค้ากับผู้ร่วมงานไม่เอนจอย
ดังนั้น เธอจึงจะคอยสอดส่องอยู่เสมอว่าอะไรที่อาจสร้างความไม่พอใจให้ลูกค้าบ้าง เพราะอยากให้ทุกคนที่จ่ายเงินมา ได้รับความสุขกลับบ้านไป
คอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่งจะพาไปเจอโอกาสดีๆ และต่อยอดได้

พอเกิดเป็นคอมมูนิตี้ที่แข็งแรงแล้ว มันก็เติบโตไปต่อได้เหมือนกับที่เหล่าผู้ก่อตั้งของ Good Hood คิดไว้จริงๆ
สตางค์เล่าว่า เนื่องจาก Good Hood ไม่ใช่ธุรกิจต่อเนื่อง เป็นงานที่มีแค่ปีละครั้ง ส่งผลให้ปีแรกๆ อาจหาเงินทุนยากนิดหน่อย แต่พอคนเริ่มมาร่วมงานเยอะขึ้น สปอนเซอร์ก็เริ่มเข้า จนพวกเขาสามารถนำเงินก้อนนั้นไปต่อยอดให้งานในปีถัดๆ ไปดียิ่งขึ้นกว่าเดิมได้
อย่างโบลิ่งเอง ในตอนที่ทำ Good Hood ช่วงแรกๆ เธอก็ไม่รู้เลยว่าจะหาเงินได้จากไหนบ้างนอกจากการเก็บค่าบูธร้านค้ากับตั๋วผู้เข้างาน แต่สุดท้ายถึงเรียนรู้ว่า การทำธุรกิจมันสามารถต่อยอดไปอีกเยอะมากในหลายรูปแบบ
“อย่างวันแรกที่มีสปอนเซอร์เข้ามาหาเรา เราก็ตกใจเหมือนกันว่า อุ๊ย มันขนาดนั้นเลยเหรอ? แล้วมันก็ต่อยอดไป สมมุติโบลิ่งเป็นร้านค้าที่มาออกบูธด้วย ก็เหมือนเราได้เจอกับลูกค้า เราได้คอนเนคกับคน เราได้เจอซัพพลายเออร์ใหม่ๆ ที่มาเดินในงาน ทุกอย่างมันต่อกันไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าการที่คอมมูนิตี้แข็งแรง มันต่ออะไรไปได้อีกหลายอย่างมากจริงๆ” โบลิ่งเสริม
สุดท้ายนี้ สตางค์ขอฝากไว้ว่า การทำธุรกิจคอมมูนิตี้ต้องใช้ความพยายามเยอะ และต้องใช้ทุนทรัพย์บ้าง แต่ถ้าเราชัดเจนในความเป็นตัวเรา อีกไม่นาน ผลตอบแทนก็จะย้อนกลับคืนมาด้วยตัวมันเองอย่างยั่งยืน
“ไม่ต้องกลัว ลองทำไปเลย เพราะว่าการทำธุรกิจสำหรับพวกเรา มันคือการลองผิดลองถูก มันจะมีวันที่ดี แล้วก็มีวันที่ไม่ดี แต่ว่าถ้าเราได้ทำแล้ว เราจะรู้สึกว่า เฮ้ย ถ้าวันนี้มันเฟล มันอาจจะไม่ได้เป็นเพราะว่าเรายังทำไม่ได้ดีพอ แต่จังหวะของเรายังมาไม่ถึง ค่อยๆ ไป ถึงตรงนั้นแล้วมันจะดีเอง” โบลิ่งกล่าวทิ้งท้าย
Good Hood ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาของธุรกิจที่เริ่มมาจากแพสชันเล็กๆ ของคนรุ่นใหม่ที่มารวมตัวกัน จนเกิดเป็นไฟลูกใหญ่ สร้างอิมแพคมากมาย ที่กลายเป็นชุมชนอันแข็งแกร่งอย่างทุกวันนี้
บทความหน้า Brand Inside จะพาไปรู้จักกับความสำเร็จของธุรกิจไทยเจ้าไหนอีก รอติดตามได้เลย
- รู้จัก ‘MERGE’ กางเกงยีนส์ไทย ยอดขายมากกว่า 80 ล้าน ที่โตต่อเนื่องปีละ 200-300%
- LA GLACE เครื่องสำอางไทย ที่บอกว่ามี 420 ล้านในวันนี้ได้ เพราะเหล่าพนักงาน Gen Z
ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, Good Hood Services
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา