Fintech เป็นอีกประเด็นที่กำลังถูกจับตามองจากทุกภาคส่วน เพราะประชาชนก็เริ่มอยากใช้งานเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับตัวเอง, ธุรกิจดั้งเดิมก็กลัวว่าจะมาฆ่าพวกเขา และภาครัฐก็ยังหาวิธีกำกับที่ตรงใจกับทุกคนมากที่สุด แต่จริงๆ แล้วการเดินหน้า Fintech ทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนวัตกรรมต้องมาเป็นอันดับแรก
ดังนั้น Brand Inside จึงพามาศึกษามุมมองความคิดจากทุกฝั่งข้างต้น ผ่านงานสัมมนา ฟินเทค: เทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิตคนไทย โดย iTax ว่าแต่ละฝ่ายมีทัศนคติอย่างไรบ้างเกี่ยวกับการนำนวัตกรรมมายกระดับบริการทางการเงินอย่างไรบ้าง
ผู้บริโภคเลือกได้ ถ้านวัตกรรมใหม่มันดีกว่า
กรณ์ จาติกวณิช ประธานสมาคมฟินเทคแห่งประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ผู้บริโภคมีสิทธิ์เลือกมากขึ้น เพราะนวัตกรรมใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีออกมาให้ใช้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่ดีคือเรื่องบริการขนส่งสาธารณะที่พอมี Uber ที่ให้บริการดีกว่าแท็กซี่ทั่วไป ผู้บริโภคก็ไปใช้บริการฝั่งนั้นเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็จะเกิดในธุรกิจบริการทางการเงินเช่นกัน และถึงบริการเหล่านั้นยังไม่ถูกกำกับโดยธนาคารแห่งประเทศไทย หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ผู้บริโภคก็ยินดีที่ไปใช้บริการเหล่านั้น เพื่อยกคุณภาพชีวิตของตนเอง
“ถ้าธุรกิจดั้งเดิมเปลี่ยนไม่ทัน ก็ยากที่จะอยู่ต่อ แต่เปลี่ยนไม่ได้หมายถึงไปเลียนแบบบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ แต่เป็นการประยุกต์ หรือจับมือกับผู้เล่นใหม่มากกว่า ซึ่งตอนนี้ก็มีหลายธนาคารเริ่มปรับตัวแล้ว เช่นการเดินหน้าสู่ Mobile Banking ที่มีต้นทุนให้บริการเพียง 1 บาท ต่ำกว่า ATM ที่มีต้นทุน 5 บาท และบริการผ่านสาขาที่มีต้นทุนถึง 44 บาท รวมถึงการเริ่มจัดโปรแกรม Accelerate เพื่อหา Fintech ที่สามารถสร้างธุรกิจใหม่ๆ ให้กับธนาคารร่วมกันได้ แต่จุดสำคัญคือบริการใหม่ๆ เหล่านี้จะเกิดไม่ได้ ถ้าถูกระงับโดยภาครัฐ เพราะกังวลต่อผลประโยชน์ของคนในระบบเดิม มากกว่าประโยชน์ผู้บริโภค”
ในทางกลับกันหากหน่วยงานกำกับบริการยังมีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่อง Fintech ในแง่ลบ โอกาสที่ประเทศไทยจะถูกประเทศเพื่อนบ้านที่มีโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับบริการทางการเงินที่แย่กว่า แซงขึ้นไปเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีทางการเงินสูงกว่าในทันที เพราะตอนนี้โครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับบริการทางการเงินของประเทศไทยดีมาก และห่วงว่าทางหน่วยงานกำกับจะรักษาจุดนี้ไว้ และไม่ยอมพัฒนาต่อไป และทางหน่วยงานกำกับน่าจะนำวิธีของประเทศสิงคโปร์มาใช้ เช่นเรื่องให้ทุกธนาคารต้องเปิด Open API ให้กับ Fintech ที่สนใจ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ไปด้วยกัน
ธนาคารต้องปรับ เป็นแค่ Gateway ไม่ได้
ด้าน บัญชา มนูญกุลชัย ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ย้ำว่า ในฐานะหน่วยงานกำกับกิจการ ก็มีแผนเปิดกว้างให้ Fintech ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ มายกระดับอุตสาหกรรมทางการเงินไทยให้ดีขึ้น เพราะ Fintech สามารถตอบโจทย์เรื่อง Anytime, Anywhere และ Any Device ได้ ดังนั้นโจทย์ของการรับมือ Fintech ไม่ใช่ดันไว้ แต่ต้องให้เข้ามา ส่วนจะเข้ามาอย่างไรก็ต้องใช้มาตรการพิเศษ เช่นการสร้าง Regulatory Sandbox ตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค. เพื่อตีกรอบบริการใหม่ๆ ก่อน
“ตอนนี้ Role ของธนาคารพาณิชย์ถูก Challenge เยอะ ถ้าเป็นแค่ Gateway อย่างเดียว และมีรายได้แค่การเก็บค่าธรรมเนียมมันไม่ได้แล้ว ต้องมี Value Added Product ด้วย และตัวธนาคารแห่งประเทศไทยก็พยายามช่วยเหลือธนาคารเหล่านั้น เพื่ออยู่ในโลกของนวัตกรรมใหม่ได้ จะให้อยู่แค่ Old World ก็คงใช่เรื่อง ที่สำคัญยังบอกให้ Delivery Product ใหม่เพื่อการแข่งขัน มากกว่าการแข่งกันสร้าง Infrastructure เพราะยิ่งแข่งกันสร้าง Infrastructure ก็เท่ากับลงทุนซ้ำซ้อน และไม่เกิดอะไรใหม่ขึ้นมาเลย”
ไม่ต้องไปตลาดทุน การลงทุนก็เกิดได้
สาริกา อภิวรรธกกุล ผู้อำนวยการฝ่ายใบอนุญาตธุรกิจตัวกลาง และส่งเสริมธุรกิจ SME กลต. บอกว่า เวลาพูดถึงมุมตลาดทุน ก็จะนึกถึงผู้คนที่อยากลงทุน และบริษัทที่อยากไดัเงินทุน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะไม่ต้องอยู่ในตลาดทุน ก็สามารถระดมทุนใน Crowdfunding ได้เหมือนกัน นอกจากนี้การลงทุนในปัจจุบันยังมีระบบ Machine Learning เพื่อช่วยนักลงทุนตัดสินใจใช้เงินด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้มันก็ต้องกำกับให้อยู่ในกรอบ แต่ถ้า Strick เกินไปก็คงเกิดยาก ดังนั้น กลต. จึงผ่อนปรนกฎเกณฑ์บางเรื่อง เช่นกรณีธุรกิจที่ปรึกษา Private Fund ก็เข้ามาให้บริการใน Sandbox ได้ทันที
สรุป
การเข้ามาของนวัตกรรมใหม่นั้น การฝืนกระแสอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง รวมถึงการปล่อยให้ถาโถมเข้ามาทั้งหมดก็เช่นกัน ดังนั้นการวางกรอบตรงกลางไว้ และค่อยๆ เปิดให้กระแสเข้ามาน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และการเดินทางเข้าสู่ Thailand 4.0 ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก หากบริการทางการเงินของประเทศชาติแข็งแกร่ง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา