ถือ ทองคำ ไม่มีวัน ‘ขาดทุน’ เรื่องจริงไหม?
ทองคำ คือ สินทรัพย์หัวแถวของปีนี้ ราคาทองคำในประเทศไทยทั้งทองคำแท่งและทองคำรูปพรรณ แตะ 65,000 บาท สร้างบรรยากาศคึกคักให้แก่ตลาดทองคำทั่วประเทศแบบไม่เคยเห็นมาก่อน
และหากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (30 กันยายน 2025) ราคาทองคำโลก Gold Spot ปรับเพิ่มขึ้นเกิน 45% ชนะทั้งหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 และบิทคอยน์
จริง ๆ แล้ว ราคาทองคำวิ่งเป็นขาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2020 ไล่ราคามาตั้งแต่ 1,500 เหรียญ แตะระดับ 2,000 เหรียญ ตอนกลางปี พุ่งติดจรวดเกิน 3,000 เหรียญ ช่วงปี 2025 เท่ากับว่าหากใครซื้อทองเก็บไว้ตั้งแต่หลัง COVID จะมีกำไรไม่ต่ำกว่า 100% แทบจะปิดประตูแพ้ เพราะไม่ว่าจะหลับตาจั่วซื้อแพงแค่ไหน ตื่นมาพรุ่งนี้เช้าราคาทองก็ยังแพงได้อีก
“ซื้อทองไปเถอะยังไงก็กำไร ไม่มีวันขาดทุน” เลยกลายเป็นคำพูดที่เริ่มได้ยินบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงนี้ คำถามคือถ้าเรามองให้ยาว ๆ ขึ้นกว่านี้ ทองคำมีแต่ขึ้นจริงไหม หรือก็เหมือนสินทรัพย์ทุกอย่างในโลกนี้ที่มีวัฏจักรของมัน ขึ้นบ้าง ลงบ้างเป็นปกติ ใช่ว่าซื้อแล้วถือยาวจะกำไรเสมอไป
ราคา ทองคำ ตลอด 100 ปี
นับตั้งแต่ปี 1915-2025 สามารถแบ่งการเคลื่อนไหวของราคาทองคำออกเป็น 5 ยุคใหญ่ ๆ ดังนี้
1. ปี 1915-1971 ยุคมาตรฐานทองคำ Gold Standard
เป็นช่วงที่นานาประเทศผูกค่าเงินกับทองคำ ก่อนที่จะเข้าสู่ระบบ Bretton Woods System (ทุกประเทศจะผูกค่าเงินตัวเองกับดอลลาร์ และดอลลาร์จะผูกกับทองคำที่อัตรา $35/oz) กระทั่งในปี 1971 สหรัฐอเมริกาประกาศยกเลิกแลกดอลลาร์เป็นทองคำ เป็นจุดสิ้นสุดของ Gold Standard เงินทุกสกุลกลายเป็น Fiat Currency ที่ไม่มีทองหนุนหลัง
ถือเป็นยุคที่ราคาทองค่อนข้างนิ่งและแทบไม่ขยับ เพราะไม่ใช่สินทรัพย์ที่ลอยตัว แต่ถูกมองเป็นหลักประกันของค่าเงิน และถูกตรึงไว้โดยรัฐบาล
2. ปี 1971-1980 เริ่มต้น Fiat Money ทองลอยตัวเสรี
ตั้งแต่ 1971 เป็นต้นมา ทุกสกุลเงินไม่มีทองหนุนหลังอีกต่อไป ราคาทองคำจึงเริ่มลอยตัวเสรี เต็มรูปแบบ และเคลื่อนไหวสะท้อนไปกับอารมณ์ตลาดมากขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทองคำพุ่งแรงกว่า 1,500% ตลอดทศวรรษ เนื่องจากวิกฤตราคาน้ำมัน และความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงไปทั่วโลก เช่น อิหร่าน สหภาพโซเวียต และอัฟกานิสถาน
3. ปี 1980-2000 Lost Decade ของทองคำ
หลังผ่านความรุ่งเรือง ราคาทองคำก็เจอกับ Sildeway Down ยาวนานเกือบ 20 ปี จากจุดพีคที่เกิน 600 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ตกลงมาต่ำที่ประมาณ 250 ดอลลาร์ในปี 1999 เพราะว่าตรงกับยุคเฟื่องฟูของตลาดหุ้นสหรัฐฯ สวนทางกลับสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
4. ปี 2001-2020 เวลาแห่งความผันผวน
ทองคำค่อยๆ ฟื้นตัวเป็นขาขึ้นอีกครั้งหลังปี 2001 จากเหตุการณ์ 9/11 ในสหรัฐฯ และมีการก่อตั้ง SPDR Gold Trust กองทุนทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกตอนปี 2004 หนุนให้ทองกลายเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และทำระดับสูงสุดที่ 1,900 ดอลลาร์ในปี 2011
แต่หลังจากปี 2011 มาถึง 2020 ราคาค่อนข้างผันผวนหนักจากนโยบายทางการเงิน ทั้งการหยุดทำ QE ของ Fed, วิกฤติหนี้ในยุโรปที่ลุกลาม, การเข้าสู่ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น เป็นต้น
5. ตั้งแต่ปี 2020 ยุคคนตื่นทอง
เป็นวัฏจักรขาขึ้นรอบใหม่ของทองคำชัดเจน โดยเริ่มต้นจากการระบาดของโควิด-19, การลดดอกเบี้ยทั่วโลก, ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการที่ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าเก็บสะสมทองคำเป็นจำนวนมากเพื่อลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ (de-dollarization) ส่งผลให้ราคาทอง All-Time High อย่างต่อเนื่อง ลุ้นแตะ 4,000 ดอลลาร์อยู่ในตอนนี้
ราคา ทองคำ ไปต่อหรือพอแค่นี้ ?
ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่สะท้อนความไม่แน่นอนของโลก โดยนักวิเคราะห์ Goldman Sachs ระบุว่ายังมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำโลก โดยมีโอกาสแตะระดับ 4,000 ดอลลาร์ในช่วงกลางปี 2569 และพุ่งสู่ 4,300 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปีหน้า
ปัจจัยหนุนราคาทองคำ คือ 1.) ธนาคารกลางอาจกลับมาเร่งซื้อทองคำอีกครั้ง 2.) มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำเป็นจำนวนมากกว่าที่เคยประเมินไว้จากนักลงทุนรายย่อย 3.) Fed กลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
มุมมองอีกด้านของบทวิเคราะห์ Hua Seng Heng ประเมินราคาทองโลกจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบท 3,835 – 3,870 ดอลลาร์ แต่หากหลุดแนวรับถัดไปที่ 3,815 ดอลลาร์ ก็มีโอกาสที่จะเข้าสู่การปรับฐานระยะสั้น และระวังแรงขายทำกำไรได้เช่นกัน
ปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาทองคำในระยะยาว คือ ทุนสำรองของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์ สะท้อนว่าสภาพคล่องในระบบการเงินกำลังหดตัว และอาจทำให้ Fed ต้องหยุดการเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อให้ปริมาณเงินในระบบสูงขึ้นอีกครั้ง และกด Bond Yield ต่ำลง ดังนั้น การลงทุนในทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยจึงน่าสนใจยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังว่าอาจทำให้ราคาทองคำพังครืนลงได้ นั่นคือหากเริ่มมีกระแสข่าวการขายลดสัดส่วนสำรองทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงกองทุน ETF ที่มีโอกาสแบ่งขายทำกำไรออกมา
ด้านบทวิเคราะห์ GCAP GOLD สรุปว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นตัวกดดันราคา ทองคำ ได้แก่
- Fed ชะลอการลดดอกเบี้ย หรือกลับลำขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหม่เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
- ทิศทางของค่าเงินดอลลาร์พลิกแข็งค่า ทำให้ความน่าสนใจสะสมทองคำแพงขึ้นสำหรับผู้ถือสกุลอื่น
- เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแรง ส่งผลให้เงินลงทุนไหลกลับไปยังตลาดหุ้นมากยิ่งขึ้น
- แรงขายทำกำไรและการเทขายเชิงเทคนิคจากกองทุน ETF
ท้ายสุดนี้ เราจะเห็นว่าแม้ปัจจุบันทองคำจะเป็นทั้งสินทรัพย์ยุทธศาสตร์ที่ประเทศทั่วโลกเข้าเก็บสะสมในทุนสำรองมากเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับเป็น Safe Haven ที่ตอบโจทย์การจัดพอร์ตและกระจายความเสี่ยงของนักลงทุน
แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทองคำก็เหมือนกับสินทรัพย์อื่นๆ ในโลกใบนี้ ซึ่งมีช่วงขึ้นลงสลับกันไป ใช่ว่าจะเป็นสินทรัพย์อมตะที่ซื้อแล้วไม่มีวันขาดทุนเลย เพราะที่ผ่านมาก็มีทั้งช่วงที่ผู้คนติดดอยทองคำยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ ระหว่างยุค 80s ถึงต้น 2000
ในทางกลับกันก็มีจังหวะที่ทองคำสร้างผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำได้เช่นกัน อย่างยุค 70s-80s ที่โลกเจอวิกฤตความขัดแย้งมากมาย หรือการเข้าสะสมตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ที่เป็นขาขึ้นรอบใหม่ของทองคำอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น การเข้าใจโอกาสและความเสี่ยงก่อนลงทุนยังเป็นหัวใจสำคัญที่ทุกคนควรทดไว้ในใจ
อ้างอิง: Macrotrends, Finance Yahoo, Hua Seng Heng, GCAP GOLD
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา