Gogoro สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ระดมทุนซีรีส์ C ได้เฉียดหมื่นล้านบาท เตรียมขยายต่อในหลายประเทศ

ว่ากันว่านี่คือ “เทสล่าแห่งรถสกู๊ตเตอร์” Gogoro แบรนด์สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจากไต้หวัน และมีบริการแบบออนดีมานด์ในเยอรมนี แถมระดมทุนรอบนี้มีนักลงทุนจากหลากหลายสัญชาติ เชื่อเลยว่าจะได้เห็นการเติบโตและแพร่หลายของแบรนด์นี้ในไม่ช้า

ระดมทุซีรีส์ C ขยายบริการต่อในยุโรป ญี่ปุ่น และเออีซี

Gogoro บริษัทสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจากไต้หวัน ได้ระดมทุนครั้งล่าสุดในซีรีส์ C มูลค่า 300 ล้านเหรียญ (ประมาณ 9,923 ล้านบาท) จาก Temasek สิงคโปร์, Generation Investment Management จากลอนดอน, Sumitomo Corporation จากญี่ปุ่น และ ENGIE บริษัทด้านพลังงานจากฝรั่งเศส

ดูเอกสารการระดมทุนได้ที่นี่

แผนธุรกิจของ Gogoro หลังจากการระดมทุนครั้งนี้ ดูจากหน้าตของนักลงทุนหลากสัญชาติแล้ว เดาได้ว่า หลังจากนี้ Gogoro น่าจะต้องส่งรถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าไปยังยุโรปมากขึ้น เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศใกล้เคียง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้มีบริการให้ยืมรถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าแบบออนดีมานด์ในเมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีมาก่อนแล้ว นอกจากนั้น ญี่ปุ่นและตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นตลาดที่ Gogoro สนใจ และคาดว่าจะบุกมาในเร็ววัน

จนถึงตอนนี้ Gogoro มียอดจำหน่ายรถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ากว่า 34,000 คัน นับตั้งแต่ก่อตั้งมาในปี 2015 หรือเพียง 2 ปีกว่าเท่านั้น ส่วนที่บอกว่าได้ให้บริการในเยอรมันมาก่อนหน้านี้นั้น รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าแบบออนดีมานด์ในเบอร์ลินมีอยู่ประมาณ 1,600 คัน โดยไปร่วมมือกับบริษัทในท้องถิ่นชื่อ Bosch subsidiary Coup

หนึ่งในนักลงทุน บอกว่า “เมืองทั่วโลกกำลังต้องการรูปแบบการขนส่งที่ยั่งยืน เราเชื่อว่า Gogoro เป็นแบรนด์ที่แข็งแรง มีวิสัยทัศน์ เรามั่นใจว่าจะทำตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างแน่นอน”

ด้าน Horace Luke ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Gogoro ระบุว่า “หนึ่งในความท้าทายที่สุดในยุคของเราคือ การเปลี่ยนเมืองของเราให้โครงสร้างพื้นฐานมีความสมาร์ท ประหยัดพลังงาน และยั่งยืน ซึ่ง Gogoro เราทำสิ่งนั้นมาเสมอ ตั้งแต่ไต้หวันจนถึงเบอร์ลิน เทคโนโลยีที่ทำให้แบตเตอรี่ไฟฟ้าถอดเปลี่ยนได้ของเราแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของธุรกิจ”

ที่เป็นข้อมูลน่าสนใจคือ Gogoro ยังบอกว่า ด้วยยอดขายที่เปิดเผย รวมกับยอดการเช่ารถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าแบบออนดีมานด์ในเยอรมนี คำนวณแล้วภายในระยะเวลา 2 ปีเศษที่ก่อตั้งธุรกิจขึ้นมา นอกจากจะทำให้ผู้คนได้เดินทางากกว่า 100 ล้านกิโลเมตรแล้ว ที่สำคัญคือช่วยประหยัดการใช้น้ำมันไปได้มากถึง 4.1 ล้านลิตร

อ้างอิง – techcrunch, Forbes

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา