กระแสฟินเทคสตาร์ทอัพยังคงมาแรง ล่าสุดมีสตาร์ทอัพ Collective Returns, Inc. ได้พัฒนาบริการที่ชื่อว่า Stash โดยมีแนวคิดตั้งต้นที่เน้นความง่ายในการลงทุน ปัจจุบันเริ่มเปิดให้บริการแล้วในสหรัฐฯ และเริ่มขยายสายของผลิตภัณฑ์ออกไปเรื่อย ๆ และเริ่มจะเข้าสู่ธุรกิจฝั่งธนาคารบ้างแล้ว
วันนี้ทีมงาน Brand Inside จะพามารู้จัก Stash และฟีเจอร์คร่าวๆ ของบริการจากสตาร์ทอัพฟินเทคด้านการลงทุนที่น่าสนใจนี้กัน
แอพ Stash เกิดจากแนวคิดทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายๆ ตัวแอพที่ดีไซน์ที่เน้นจับกลุ่มตลาดนักลงทุนรายย่อยหน้าใหม่ และไม่ค่อยถนัดการใช้เครื่องมือลงทุนแบบเดิมๆ สิ่งที่น่าสนใจของ Stash คือ ต้นทุนต่ำ ทำให้เหมาะกับนักลงทุนที่กำลังอยู่ระหว่างช่วงเรียนรู้และลองผิดลองถูก นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนได้โดยใช้เงินลงทุนน้อยสุดเพียง 5 ดอลลาร์เท่านั้น รวมถึงกำหนดให้เพิ่มเงินลงทุนเรื่อยๆ ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอัตโนมัติหรือเพิ่มด้วยตัวเอง
ส่วนด้านสไตล์การลงทุน Stash ก็มีให้เลือกได้ว่าจะลงทุนอย่างไรให้เป็นไปตามสไตล์ของผู้ใช้ และเป้าหมายที่ต้องการ มีธีมการลงทุนให้เลือกมากมายที่ Stash จะคัดสรร ETF มาให้ผู้ใช้ตามธีมการลงทุนนั้นๆ เช่น
- The Techie เน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี
- The Trendsetter เน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจสื่อสังคมหรือโฆษณาที่เน้นไปยังกลุ่มผู้บริโภค
- The Globetrotter เน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว, ความบันเทิง, การพักผ่อน
- The Activist เน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจพลังงานสะอาด
Stash คิดค่าธรรมเนียมถูกมาก เริ่มต้นที่ 1 ดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับบัญชีที่มีมูลค่าต่ำกว่า 5 พันดอลลาร์ และ 0.25% ต่อเดือนสำหรับบัญชีที่มีมูลค่าสูงกว่า 5 พันดอลลาร์
เนื่องจาก Stash จับกลุ่มนักลงทุนที่ยังไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนมากนัก การให้การศึกษากลุ่มนักลงทุนเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ผลิตภัณฑ์ของ Stash นั้นออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจเงินของตัวเอง และเข้าร่วมในการลงทุนได้ Stash จึงมีคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ใส่ไว้ในแอพหลายๆ จุด รวมถึงการให้การศึกษาอย่างจริงจังผ่าน StashLearn
StashLearn มีสอนตั้งแต่วิธีการใช้งานแอพ Stash ไปจนถึงการให้ความรู้ในเรื่องการลงทุนรอบด้านตั้งแต่ข่าวสารไปจนถึงบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจและเข้าใจได้ง่าย หรือเรื่องเกี่ยวเนื่องอย่างเช่นความรู้ด้านภาษีก็มีให้เช่นกัน ซึ่งเป็นความรู้ที่จำเป็นสำหรับนักลงทุนรายบุคคล
ปัจจุบัน Stash มีลูกค้า 1.7 ล้านคนและผู้สมัครสมาชิก 5 ล้านคน โดยในปี 2017 นั้น Stash มีผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นประมาณ 25,000 คนต่อสัปดาห์ ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นคนต่อสัปดาห์แล้ว และ 86% ของผู้ใช้ Stash นั้นเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ (first-time investor) ด้วย
นอกจากเรื่องการลงทุนสำหรับบุคคลทั่วไปแล้ว Stash ก็ยังมี Stash Retire บริการสำหรับการวางแผนเกษียณอายุอีกด้วย โดยใช้เงินทุนเริ่มต้นเพียง 15 ดอลลาร์ และมีค่าธรรมเนียมที่ 2 ดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับเงินทุนไม่เกิน 5 พันดอลลาร์ และ 0.25% ต่อเดือนสำหรับเงินทุนเกิน 5 พันดอลลาร์
ล่าสุด Stash ได้ระดมทุนเพิ่มใน Series D โดยมี Union Square Ventures เพิ่มทุนให้ 37.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง Stash จะนำเงินไปเพื่อพัฒนาฟีเจอร์และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยผู้ให้เงินทุนหนุนหลังของ Stash ในการระดมทุนรอบที่ผ่านๆ มา ได้แก่ Breyer Capital, Coatue Management, Entree Capital, Goodwater Capital และ Valar Ventures
Stash คงจะยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะว่าล่าสุดทางบริษัทก็เตรียมขยายให้บริการฝั่งธนาคารหรือ Stash Banking โดยร่วมมือกับธนาคารบางแห่งที่ยังไม่เปิดเผยชื่อ ซึ่งบริการ Stash Banking จะไปที่ซอฟต์แวร์ด้านการธนาคารที่ดียิ่งขึ้น คิดค่าธรรมเนียมถูกกว่าธนาคารทั่วๆ ไป ซึ่งแน่นอนว่า Stash จะใส่คำแนะนำและให้การศึกษากับกลุ่มลูกค้าของบริษัทด้วย
ปัจจุบัน บริการ Stash Banking ยังไม่ได้เปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไปอย่างเต็มตัว ผู้สนใจจะต้องลงชื่อเพื่อขอเข้าใช้งานก่อน
สรุป
Stash เป็นฟินเทคสตาร์ทอัพที่เกิดมาโดยเน้นตอบโจทย์การลงทุนให้รายย่อย และเริ่มมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการลงทุนออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงให้การความรู้และเครื่องมือใช้งานง่ายก็ทำให้ Stash คงจะเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนรุ่นใหม่ และหาก Stash เปิดบริการอื่นๆ ได้เพิ่มเติมก็จะทำให้เป็นแอพเพื่อการลงทุนที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลจาก TechCrunch, Stash
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา