แพลตฟอร์มจีนมีหนาว! สหรัฐฯ เดินหน้าเก็บภาษีออนไลน์อีกแล้ว ทำให้ราคาสินค้าจากแพลตฟอร์มสัญชาติจีนอย่าง Shein และ Temu อาจแพงขึ้น 20%
CNBC รายงาน ราคาสินค้า เช่น เสื้อยืดราคา 5 เหรียญสหรัฐ หรือสเวตเตอร์ราคา 10 เหรียญสหรัฐ น่าจะแพงขึ้นกว่าเดิม 20% ตามเกณฑ์การปิดช่องโหว่จากการยกเว้นภาษี (de minimis provision)
Neil Saunders นักวิเคราะห์ค้าปลีกและกรรมการผู้จัดการ แห่ง GlobalData เห็นด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายเช่นนี้ น่าจะทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น แต่เขาไม่รู้ว่าราคาที่แพงขึ้นน่าจะอยู่ที่เท่าไร
ถ้าหากไม่มีเกณฑ์ยกเว้นภาษี ก็เป็นไปได้ว่า ต้นทุนสินค้าอย่าง Shein หรือ Temu ที่เป็นแพลตฟอร์มสัญชาติจีนก็น่าจะมีราคาที่ถีบตัวสูงขึ้น ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าดังกล่าวจะทำให้แพลตฟอร์มเหล่านี้อาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไปบ้าง หรือไม่ก็ทำใหัอัตราการเติบโตของแพลตฟอร์มดังกล่าวต่อตลาดสหรัฐฯ อาจโตช้าลงได้บ้าง
รู้จัก de minimis provision เกณฑ์การยกเว้นภาษี
คำแถลงจากทำเนียบขาวระบุ ดังนี้ รัฐบาล Biden และ Harris กำลังเดินหน้าปรับแก้กฎหมายเพื่อปกป้องผู้บริโภคชาวอเมริกัน ปกป้องแรงงาน และปกป้องธุรกิจอเมริกันด้วย เนื่องจากมีการปรับแก้เกณฑ์ยกเว้นภาษีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ก่อตั้งโดยจีน กฎหมายดังกล่าวจะช่วยให้สกัดสินค้าที่ละเมิดกฎหมายสหรัฐฯ ได้
กว่า 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนการขนส่งสินค้าที่เข้าสู่สหรัฐอเมริกานั้น อ้างสิทธิยกเว้นภาษีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 140 ล้านชิ้นต่อปีเป็นกว่า 1 พันล้านชิ้นต่อปี
จำนวนการขนส่งสินค้าเป็นลักษณะเติบโตแบบ exponential คือในช่วงแรก ค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างช้าๆ แต่หลังจากนั้นก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว การขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลดังกล่าวของสินค้ายกเว้นภาษี สร้างความท้าทายต่อการบังคับใช้กฎหมายการค้าของสหรัฐฯ
ทั้งในแง่ของข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและสุขภาพ กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา กฎในการคุ้มครองผู้บริโภค และการสกัดยาเสพติดสังเคราะห์ผิดกฎหมาย ไปจนถึงเครื่องจักรสำหรับผลิตยาที่อาจถูกนำเข้าประเทศได้
สินค้าส่วนใหญ่ที่ขนส่งเข้าประเทศสหรัฐอเมริกามักจะอ้างสิทธิ์ยกเว้นภาษี และสินค้าเหล่านั้นก็มักจะมาจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีน
การรุกธุรกิจของจีนเช่นนี้ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อลูกค้าชาวอเมริกัน ทั้งในแง่การขายสินค้าตัดราคาแรงงานชาวอเมริกันหรือธุรกิจสัญชาติอเมริกันเอง ส่งผลให้มีการนำเข้าสินค้ามูลค่าต่ำจำนวนมาก เช่น สิ่งทอ เสื้อผ้า เข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ แบบปลอดภาษี
การขนส่งสินค้าโดยรับสิทธิยกเว้นภาษี คือสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 26,000 บาท เป็นสินค้าที่มีข้อมูลน้อยกว่าสินค้าอื่นๆ และไม่ต้องเสียภาษีอากรใดๆ
ปริมาณการขนส่งสินค้าที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีทำให้ยากต่อการสกัดสินค้าผิดกฎหมายหรือสินค้าไม่ปลอดภัยได้ยากขึ้น บริษัทยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศก็หาประโยชน์จากสิทธิของการยกเว้นภาษีด้วยหลากหลายเหตุผลด้วยกัน
บางบริษัทใช้ประโยชน์จากสิทธินี้เพื่อปกปิดสินค้าที่ผิดกฎหมายหรือสินค้าที่เป็นอันตรายเพื่อหลีกเลี่ยงการทำตามกฎด้านสุขภาพและความปลอดภัยของสหรัฐฯ ตลอดจนกฎเพื่อการปกป้องผู้บริโภคด้วย และอื่นๆ
การประกาศกฎดังกล่าวของฝ่ายบริหารนั้น ก็เพื่อยับยั้งการใช้ข้อยกเว้นทางภาษีในทางที่ผิด โดยฝ่ายบริหารยังเรียกร้องให้ผ่านกฎหมายฉบับนี้ภายในปีนี้ เพื่อที่จะปฏิรูปกฎแห่งการยกเว้นทางภาษี เพื่อให้สามารถปกป้องผู้บริโภคชาวอเมริกัน แรงงาน และธุรกิจต่างๆ ได้
นี่คือแถลงการณ์เบื้องต้นที่สะท้อนให้เห็นที่มาที่ไปของสหรัฐฯ ที่ต้องการหันมาใส่ใจการกำหนดภาษีใหม่ หลังจากที่เห็นใจสินค้าราคาถูกมาเนิ่นนาน สุดท้ายสินค้าราคาถูกที่ว่านั้น ได้ใช้ประโยชน์ ใช้โอกาสจากความเห็นใจ หรือการปล่อยปละละเลย ด้วยการบุกเข้าประเทศอย่างล้นหลาม จนในที่สุดสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถสกัดกั้นสินค้าราคาถูกล้นเมืองได้อีกต่อไป
ความเสี่ยงของสหรัฐฯ ก็คืออีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนยักษ์ใหญ่ หน้าเดิมๆ
สำหรับผู้บริโภคส่วนใหญ่ แค่สินค้าราคาถูก คุณภาพพอใช้ได้ ตลาดภายในประเทศจะเสียหายมากแค่ไหน คนจะตกงานเพราะโดนตลาดจากต่างประเทศโจมตีเพียงใด ก็ไม่อาจหักห้ามความพึงพอใจของพวกเขาได้ อะไรมันจะคุ้มค่าสำหรับตัวเองไปมากกว่าการได้ซื้อสินค้าราคาถูก แต่คุณภาพรับได้กันล่ะ เรามันใช้ชีวิตตัวใครตัวมันกันอยู่แล้ว
ดังนั้น เมื่อประชาชนไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้ รัฐจึงมีหน้าที่โดยสมบูรณ์ที่จะต้องออกแบบระบบเพื่อปกป้องธุรกิจภายในประเทศ เพราะ SMEs ก็คือตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของประเทศ
ย้อนกลับไปที่รายงานของ CNBC เนื้อหาข่าวระบุว่า เมื่อสองปีที่ผ่านมา บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เข้ามายึดครองผู้บริโภคอเมริกันด้วยพายุสินค้าราคาถูกระดับพิเศษ คือถูกกว่าถูกมาก ถูกมากจนห้ามใจไม่ได้ ต้องควักเงินซื้อ
ด้วยการแข่งขันด้วยระดับคาที่ถูกแสนถูก ผ่านโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนที่แข็งแกร่งเหนือใคร ไม่ว่าจะแรงงานมหาศาล ต้นทุนวัตถุดิบต่ำชนิดที่ประเทศไหนก็เทียบไม่ติด แถมยังได้ขายในราคาที่ปลอดภาษีอีก ทำให้ Shein ถูกประเมินว่า รายได้ต่อปีสูงกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาท
ขณะที่ Temu นั้น ยังไม่มีตัวเลขรายได้จากยอดขายชัดเจนนัก แต่ Temu ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ PDD Holdings บริษัทแม่มีรายได้ต่อปีสูงถึง 3.49 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท ในปี 2023 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ามหาศาลถึง 90%
แน่นอนว่า สินค้าราคาถูกจำนวนมากเข้ามาถล่มตลาดภายในประเทศได้มากขนาดนั้นย่อมทำลายคู่แข่งได้แน่นอน ซึ่งก็หนีไม่พ้นหลากหลายแบรนด์ที่โลกต่างคุ้นเคยดี นั่นก็คือ H&M, Zara, Target, Walmart และ Amazon และนี่ก็คือวิธีแก้เกมของสหรัฐฯ ก็ต้องมาลุ้นกันต่อว่าสหรัฐฯ จะสามารถบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ได้เมื่อไร ลำพังแค่ภาษีระดับนี้จะต้านทานจีนได้เพียงใด
ที่มา – CNBC (1), (2), The White House
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา