5 แบรนด์ใหญ่ของจีน ได้รับความนิยมระดับถล่มทลายทั่วโลก ดังนี้ TikTok, Lenovo, DJI, Tencent และ Xiaomi ถ้าเรียงตามการจัดอันดับมูลค่าบริษัทนั้น พบว่า ยิ่งอยู่นาน ยิ่งเติบโต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มาทีหลังจะแซงหน้าบริษัทรุ่นพี่ก่อนหน้าไม่ได้
(1.) Tencent
ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1998
ผู้พัฒนาเกม Honor of Kings เกมมือถือที่ได้รับความนิยมมหาศาลระดับที่มีผู้เข้าเล่นร้อยล้านต่อวัน ทำรายได้สูงสุดและกอบโกยกำไรมากที่สุดในโลก มีส่วนแบ่งตลาด 13.2% มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 404.24 แสนล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 14.14 ล้านล้านบาท
Business Insider รายงานว่า บริษัทเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกไม่ใช่ญี่ปุ่นอย่าง Sony หรือ Microsoft เจ้าใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา แต่เป็น Tencent ที่มาจากจีน ถ้าพูดถึงบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก สัญชาติจีน จะมีชื่อย่อที่เรียกกันว่า BAT หรือ Baidu, Alibaba และ Tencent
Tencent คือบริษัทวิดีโอเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และทำรายได้มหาศาลจาก Honor of Kings และ PUBG Mobile โดยครึ่งแรกของปี 2023 เกม Honor of Kings ติดอันดับทำรายได้เกมในมือถือสูงถึง 766 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 2.68 หมื่นล้านบาท ขณะที่ PUBG Mobile ทำราได้ไปแล้ว 344 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท
Tencent ไม่ได้มีแค่เกมมือถือที่กอบโกยรายได้และกำไรอย่างมหาศาล แต่ยังมี แพลตฟอร์ม WeChat ที่เป็น Super Apps แอปพลิเคชันที่เป็นทุกอย่างให้คนจีนแล้ว ทั้งเอาไว้แชทคุย มีวิดีโอเกมให้เล่น สั่งอาหาร ซื้อของออนไลน์ เรียกรถ ฯลฯ สารพัดบริการที่จัดให้ จน Elon Musk มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลกกำลังวิ่งไล่ตามให้ทัน เพราะอยากจะเอาอย่างบ้าง และพยายามจะทำให้ X หรือ Twitter สามารถทำได้แบบ WeChat บ้าง
(2.) TikTok
น้องใหม่ที่มาแรงสุดๆ ก่อตั้งในปี 2012
เปิดตัวแอปให้ได้ใช้บริการทั่วโลกในเดือนกันยายน ปี 2017
TikTok หรือ Douyin เวอร์ชั่นจีน คือแพลตฟอร์มสัญชาติจีนที่ดังไปทั่วโลกจริงๆ อยู่ภายใต้บริษัท ByteDance เป็นโซเชียลมีเดียที่เน้นคลิปวิดีโอขนาดสั้น ใช้เวลาไม่กี่ปีก็เข้าไปนั่งอยู่กลางใจคนง่ายๆ และถูกเรียกว่าเป็นแพลตฟอร์มนำเทรนด์ด้านวัฒนธรรม
มีการวิเคราะห์จาก Kantar ว่าเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 4 ของจีน ประเมินไว้ว่ามีมูลค่าอยู่ที่ 4.35 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อนหน้า
ขณะที่ Statista ประเมินว่า มูลค่าบริษัทของ TikTok น่าจะอยู่ที่ 2 แสนล้านดอลลาร์หรือประมาณ 6.9 ล้านล้านบาท ส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 26%
สำหรับในสหรัฐอเมริกา Facebook ยังครองตลาดอยู่ มีคนใช้งานราว 180 ล้านรายในปี 2022 ขณะที่ TikTok คนใช้งานในสหรัฐเพิ่มขึ้นจาก 35.7 ล้านรายในปี 2019 เป็นเกือบๆ 96 ล้านรายในปี 2022 แซงหน้า Instagram ไปแล้ว 16%
(3.) Xiaomi
ก่อตั้งในปี 2010
บริษัทที่ออกแบบและผลิตสมาร์ทโฟนใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ตามหลัง Samsung และ Apple ทั้งยังผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เครื่องดูดฝุ่น กล้อง เฮดโฟน พาวเวอร์แบงค์ สารพัดอุปกรณ์ IoT เต็มไปด้วยสินค้าสมาร์ทโฮมที่ได้รับการตอบรับจากผู้คนอย่างล้นหลาม
Xiaomi มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 13% มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 3.09 แสนล้านฮ่องกงดอลลาร์หรือประมาณ 3.97 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ราว 1.38 ล้านล้านบาท
(4.) Lenovo
ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1984
Lenovo เป็นบริษัทของสหรัฐอเมริกามาก่อนที่จีนจะเข้าซื้อกิจการทั้ง ThinkPad laptop และ ThinkCenter desktop ที่มูลค่า 1.25 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 4.37 หมื่นล้านบาทในปี 2004
เป็นบริษัทที่ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีคู่แข่งสำคัญคือ HP, Dell และ Apple มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 24% มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 1.37 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.79 แสนล้านบาท เฉพาะปี 2022 ที่ผ่านมา ขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ราว 69 ล้านเครื่อง
การเข้าซื้อกิจการ IBM ของ Lenovo ถือเป็นกรณีศึกษาในการควบรวมกิจการระหว่างประเทศที่ประสบความสำเร็จงดงามท่ามกลางวัฒนธรรมที่แตกต่าง
(5.) DJI บริษัทผลิตโดรนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ก่อตั้งในปี 2006
เป็นบริษัทที่คิดค้นและก่อตั้งมาตั้งแต่ในรั้งมหาวิทยาลัยของเหล่านักศึกษา เป็นผู้ผลิตโดรนในโลก ปัจจุบันมีออฟฟิศอยู่ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น โดรนที่ผลิตขึ้นมานี้มีวัตถุประสงค์ในการใช้งานหลากหลาย ทั้งถ่ายทำภาพยนตร์ ทั้งเพื่อการเกษตร และเพื่อปฏิบัติการค้นหาและให้ความช่วยเหลือผู้คน
DJI โดดเด่นมากในตลาดโดรนของเล่น จนสามารถโค่นคู่แข่งที่มาก่อนอย่างโดรนของชาวฝรั่งเศสที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1994 ได้สำเร็จ แต่ในปี 2020 DJI ก็ถูกกระทรวงภาณิชย์ขึ้นบัญชีดำ ออกคำสั่งแบนโดรนจาก DJI หรือโดรนที่ผลิตโดยจีน กรณีสนับสนุนให้สอดแนมชาวมุสลิมอุยกูร์ จีน
DJI มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 70% และมีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3.84 แสนล้านบาท
อ้างอิง Business Insider, Companies Market Cap (1), (2), Forbes (1), (2), Statista (1), (2)
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา