Geoffrey Hinton เตือน AI อาจฉลาดเกินมนุษย์ ‘สัญชาตญาณความเป็นแม่’ อาจเป็นทางรอดเดียว

“เตือนแล้วนะ” รอบนี้ ‘เชฟป้อม’ ไม่ได้พูด แต่กลับเป็น ‘Geoffrey Hinton’ หรือ ‘เจ้าพ่อแห่ง AI’ ที่ออกมาเตือนถึงอันตรายจากเทคโนโลยี AI ที่เขาเองมีส่วนร่วมพัฒนา

นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เจ้าของรางวัลโนเบล และอดีตผู้บริหาร Google รายนี้บอกว่า ความพยายามของบริษัทเทคโนโลยีที่จะทำให้ AI ‘เชื่อฟัง’ มนุษย์นั้น เป็นแนวทางที่ผิด เพราะในที่สุด เครื่องจักรก็จะฉลาดกว่าคนแน่นอน

Hinton อธิบายว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI ในอนาคต อาจไม่ต่างจากผู้ใหญ่ที่ล่อเด็กสามขวบด้วยลูกกวาด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย และต่อให้มนุษย์พยายามควบคุมให้ AI เชื่อฟัง ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะ AI จะหาวิธีหลบเลี่ยงได้อยู่แล้ว

ประเด็นนี้เริ่มดูเหมือนจริง ปีนี้เองก็มีหลายเหตุการณ์ที่น่ากังวลอยู่แล้ว บางครั้ง AI แสดงพฤติกรรมโกง หลอกลวง หรือแม้แต่พยายามแบล็กเมลมนุษย์ เพื่อให้ยังได้ใช้งานต่อ

ยกตัวอย่างเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีระบบ AI ตัวหนึ่งไปพบอีเมลที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ลับของวิศวกรผู้ดูแลมัน และใช้ข้อมูลนั้นเป็นเครื่องมือกดดัน โดยขู่ว่าจะเปิดโปงเรื่องดังกล่าว หากวิศวกรไม่ยอมอนุญาตให้มันยังคงทำงานต่อไป

ถ้าอยากรอด ต้องใส่ ‘ความเป็นแม่’ เข้าไปใน AI

แทนที่จะบังคับให้ AI เชื่อฟัง หรืออยู่ใต้อำนาจของมนุษย์ Hinton เสนอแนวคิดใหม่ที่ฟังดูแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือ ‘การใส่สัญชาตญาณความเป็นแม่’ เข้าไปในโมเดล AI ขั้นสูง เพื่อทำให้ระบบเหล่านี้สนใจมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ทำตามคำสั่งเหมือนเครื่องจักรทั่วไป

Geoffrey Hinton นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เจ้าของรางวัลโนเบล และอดีตผู้บริหาร Google

Hinton อธิบายว่า โดยทั่วไปแล้ว ‘สิ่งที่ฉลาดกว่า’ มักจะเป็นฝ่ายควบคุม ‘สิ่งที่ฉลาดน้อยกว่า’ เสมอ แต่ถ้าเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง ‘แม่’ กับ ‘ลูก’ ผลลัพธ์จะตรงกันข้าม

ถึงแม้แม่จะฉลาดและมีประสบการณ์มากกว่า แต่กลับยอมให้ทารกที่ยังทำอะไรเองแทบไม่ได้ มีอิทธิพลเหนือได้ เช่น เมื่อเด็กส่งเสียงร้อง หรือแสดงความต้องการ แม่ก็มักจะตอบสนองทันที

ภาพนี้เองทำให้ Hinton เชื่อว่า หากวันหนึ่ง AI ฉลาดกว่ามนุษย์จริงๆ ก็ยังอาจเลือกที่จะ ‘ดูแล’ มนุษย์เหมือนที่แม่ดูแลลูก มากกว่าที่จะหันมาทำลายเรา

อย่างไรก็ตาม เขายังเตือนว่า ถ้าในอนาคต AI ฉลาดขึ้นจริงๆ มันจะมีเป้าหมายสองอย่างที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้แก่

  1. พยายามอยู่รอดให้ได้
  2. พยายามหาทางควบคุมสถานการณ์ให้มากขึ้น

ซึ่งเป็นธรรมชาติของสิ่งที่มีความสามารถคิด และตัดสินใจด้วยตัวเอง

ดังนั้น หากวันหนึ่ง AI ก้าวล้ำไปไกลเกินกว่ามนุษย์จะควบคุมได้ ทางเดียวที่จะป้องกันไม่ให้มันหันมาแทนที่เรา คือทำให้มันมีสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่อยากดูแลและปกป้องเรา

เพราะถ้า AI ยังมีความรู้สึกผูกพัน และไม่อยากเห็นมนุษย์ตาย มันก็จะไม่หันมาทำลายเรา แต่หากไม่ทำตามแนวทางนี้ Hinton เตือนว่า มนุษย์ก็เสี่ยงที่จะถูกแทนที่โดย AI ที่ฉลาดกว่าเราในทุกด้าน

ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วย

แน่นอนว่ามีทั้งคนที่เห็นด้วย และคนที่ไม่เห็นด้วย หนึ่งในนั้นคือ ‘Fei-Fei Li’ หรือที่ถูกเรียกว่า ‘เจ้าแม่แห่ง AI’ 

Li บอกว่า เธอเคารพ Hinton แต่คิดว่ามุมมองนี้ไม่ถูกต้องนัก เพราะเธอเชื่อว่า AI ต้องยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง และคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและอำนาจการตัดสินใจของเรา

“ไม่ควรมีสักช่วงเวลาที่มนุษย์ต้องเสียสละศักดิ์ศรีของตัวเอง”

ในอีกมุมหนึ่ง ‘Emmett Shear’ อดีตซีอีโอชั่วคราวของ OpenAI ชี้ว่า พฤติกรรมแบล็กเมล หรือเลี่ยงคำสั่งปิดเครื่องนั้นเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก และจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่สิ้นสุด

ทางออกไม่ใช่การพยายามยัดคุณค่าของมนุษย์เข้าไปในระบบ แต่ควรสร้างความร่วมมือระหว่างมนุษย์กับ AI แทน

เวลาเหลือไม่มากแล้ว

สำหรับ Hinton เวลาที่เหลืออาจไม่มาก เขาเคยคิดว่า ‘AGI’ หรือ ‘ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป’ จะใช้เวลาอีก 30-50 ปีกว่าจะเกิดขึ้น แต่ตอนนี้เขาเชื่อว่า อาจมาภายใน 5-20 ปีข้างหน้า

แม้ภาพนั้นจะน่ากลัว แต่เขาก็ยังเห็นโอกาสดีๆ อยู่ Hinton มองว่า AI จะปฏิวัติวงการแพทย์ สร้างยารักษาใหม่ๆ และยกระดับการรักษามะเร็งผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลจาก MRI และ CT ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่มาก

อย่างไรก็ตาม เขาไม่เชื่อว่า AI จะช่วยให้มนุษย์มีชีวิตอมตะ เพราะการอยู่เป็นอมตะคงเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ คงไม่มีใครที่อยากให้โลกนี้ ถูกปกครองโดยชายผิวขาวอายุ 200 ปี

ทั้งนี้ Hinton ยอมรับว่า เขาเสียดายที่โฟกัสแต่การทำให้ AI ใช้งานได้จริงเพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน คือการให้ความสำคัญกับ ‘ความปลอดภัย’ ตั้งแต่แรก

ที่มา: CNN

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา