เด็กไทยเกิดน้อย แต่ ‘สินค้าเด็ก’ ยังโตดี เพราะพ่อแม่ Gen Y พร้อมเปย์เพื่อลูก เข้าห้างแต่ละทีจ่ายเกิน 1,000 ตลอด

แม้ว่าประเทศไทยจะมี ‘เด็กเกิดใหม่’ น้อยลงๆ ทุกปี แต่ ‘สินค้าเด็ก’ ในประเทศไทยกลับยังคงขายดีอยู่ คำถามคือทำไมถึงเป็นแบบนั้น?

Brand Inside ได้คุยกับ ‘ภูษิต ศศิธรานนท์’ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร โคโลญเมสเซ่ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Kind + Jugend ASEAN 2025 มหกรรมแสดงสินค้าแม่และเด็กระดับอาเซียน เกี่ยวกับเรื่องนี้

พ่อแม่ Gen Y ทุ่มทุนเลี้ยง อยากสร้างพลเมืองคุณภาพ

“เราคงได้ตามข่าวกันว่าตอนนี้ประเทศไทยเด็กเกิดน้อย คนน้อยลง มีแต่ผู้สูงอายุ แต่การใช้จ่ายในงานแม่และเด็กกลับไม่ลดลงอย่างที่หลายคนคิด”

ภูษิต อธิบายว่า สาเหตุมาจากเด็กยุคนี้เป็น ‘เด็กทองคำ’ หรือเป็นเด็กที่ได้รับความสำคัญจากพ่อแม่ รายได้ส่วนใหญ่ของพ่อแม่จึงถูกใช้จ่ายไปกับลูก

ยกตัวอย่างธุรกิจที่น่าสนใจที่สุดในเวลานี้ คือ ‘โรงเรียนนานาชาติ’ ที่ในประเทศไทยมีมากกว่า 100 แห่งแล้ว แต่ทุกแห่งกลับเต็มหมด แปลว่าค่าใช้จ่ายต่อหัวของเด็กแต่ละคนสูงมาก ตั้งแต่เรื่องการใช้ชีวิตจนถึงเรื่องการศึกษา โดยไม่ใช่แค่ในไทยเท่านั้น แต่เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

“พ่อแม่ยุคนี้เน้นลงทุนกับการศึกษาค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ เมื่อก่อนของเล่นอาจจะถูกมองเป็นของแถม แต่ตอนนี้ของเล่นมีความหลากหลายมากขึ้น โดยพ่อแม่ยินดีลงทุนเพื่อการเรียนรู้ มองเป็นการลงทุน เป็นการพัฒนาเด็กที่มีคุณภาพคนหนึ่ง”

อย่างงาน Kind + Jugend ASEAN 2025 ที่เป็นมหกรรมแสดงสินค้าแม่และเด็กระดับอาเซียนเองก็ขยายพื้นที่ขึ้นทุกปีๆ ปีแรกใช้พื้นที่แค่ฮอลล์เดียว ปีถัดมาขยายเพิ่มเป็นสองฮอลล์ และยังคงเติบโตต่อเนื่อง

แต่สินค้าที่จะจำหน่ายให้กับพ่อแม่ยุคนี้จะต้องเป็นสินค้าที่มี ‘นวัตกรรม’ ไม่ใช่สินค้าทั่วไป อาทิ สินค้าที่มีเทคโนโลยีเป็นส่วนผสม สินค้าที่ใช้ AI เป็นส่วนประกอบ หรือสินค้าที่ช่วยการยกระดับชีวิตแม่และเด็กในภาพรวม ในตลาดตอนนี้จึงมีสินค้าเด็กที่เหมือนกับสินค้าผู้ใหญ่เยอะมาก

พ่อแม่ยุคนี้สนใจ ‘คุณภาพ’ มากกว่า ‘ราคา’

ฝั่งผู้บริหารกลุ่มสินค้าแม่และเด็กในเชนห้างสรรพสินค้าใหญ่อย่าง The Mall ก็เห็นตรงกัน ‘รวมพร อิทธิพงศ์’ ผู้จัดการใหญ่บริหารสินค้า BETREND, WATCH GALLERIA และ KIDS’ PLANET บริษัท เดอะ มอลล์ กรุ๊ป จำกัด ยืนยันว่า ยอดขายสินค้ากลุ่มแม่และเด็กยังคงเติบโต

โดยพ่อแม่สมัยใหม่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณอย่างเห็นได้ชัด สินค้าแม่และเด็กจึงมีค่าใช้จ่ายต่อ 1 ใบเสร็จค่อนข้างสูง อย่างใน Siam Paragon และ Emporium จะมีค่าใช้จ่ายราว 3,000 บาทต่อใบเสร็จ ขณะที่ใน The Mall จะมีค่าใช้จ่ายราว 1,000 บาทต่อใบเสร็จ

สินค้ากลุ่มที่ขายดีที่สุด คือ ‘สินค้าเด็ก’ ตามด้วยสินค้ากลุ่ม ‘ของเล่นเด็ก’ และ ‘เสื้อผ้าเด็ก’ เพราะพ่อแม่ยุคใหม่ไม่ได้มองว่าของเล่นเป็นแค่ของเล่นอีกต่อไป แต่เห็นว่ามีความสำคัญมากกับพัฒนาการเด็ก

‘รวมพร’ ยอมรับว่า พ่อแม่ Gen Y แตกต่างกับพ่อแม่ Gen X หรือ Baby Boomer ที่ไม่ชอบสปอย เน้นประหยัดและมีคุณค่า รวมถึงยุคนั้นไม่ได้มีสินค้าเด็กให้เลือกหลากหลายแตกต่างจากในยุคนี้ จึงทำให้แม้เด็กจะเกิดน้อยลง แต่ยอดขายสินค้ากลุ่มแม่และเด็กยังเติบโตดี

“เมื่อก่อนตอนเรายังเป็นเด็กอาจจะไม่ได้มีตัวเลือกเสื้อผ้ามากมายเท่าไร แต่ยุคนี้พ่อแม่สนุกกับการแต่งตัวให้เด็กๆ ตั้งแต่ใส่แว่นกันแดด สนีคเกอร์ พร็อบ อย่างยุคนี้นาฬิกาของเด็กสามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ด้วย หรือแม้แต่ครีมกันแดดเด็กก็มีแล้ว สมัยก่อนตอนเราเป็นเด็กไม่มีแบบนี้”

พฤติกรรมของพ่อแม่ยุคนี้จะเน้นดู ‘คุณภาพ’ ก่อนแล้วค่อยไปดู ‘ราคา’ และมักจะเน้นซื้อบ่อยๆ มากกว่าซื้อทีละมากๆ ส่วนสินค้าชิ้นใหญ่ๆ ที่มีความจำเป็นอย่างรถเข็นหรือคาร์ซีท พ่อแม่หลายๆ คนอาจเลือกใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างผ่อน 0% ช่วยได้

แผนของ ‘เดอะ มอลล์’ ในการรับมือกับยุคที่เด็กเกิดน้อยจึงเป็นการเน้นสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ เน้นสินค้ากลุ่มแกดเจท-ไอทีของเด็กมากขึ้น ส่วนสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าเด็กก็จะเน้นเสื้อผ้าที่มีนวัตกรรม ใส่แล้วเย็น ใส่แล้วสุขภาพดี รวมถึงมีของจริงให้สัมผัสก่อนซื้อ

นอกจากลูกค้าชาวไทยแล้ว สินค้าแม่และเด็กของ เดอะ มอลล์ ก็ยังมีกลุ่มลูกค้าต่างชาติอย่างจีน เกาหลี เมียนมา ลาว รวมถึงลูกค้าอาหรับที่ชอบสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าเด็กเป็นพิเศษและเป็นกลุ่มที่ซื้อทีละเป็นแสนด้วย

ทุ่มเงินแล้ว ยังทุ่มเวลาให้กับลูกแบบเต็มที่

มุมมองจาก ‘ภูษิต’ และ ‘รวมพร’ สอดคล้องกับผลสำรวจของ The 1 Insight ที่บอกว่า กลุ่ม Millennial Parents หรือพ่อแม่ Gen Y ที่มีอายุระหว่าง 28-44 ปี มีการใช้จ่ายในภาพรวมเติบโตสูงกว่าเพื่อนๆ วัยเดียวกันถึง 2 เท่า นอกจากนั้น ยังมี 3 พฤติกรรมหลักของพ่อแม่ Gen Y ที่น่าสนใจ ได้แก่

1. ทุ่มเวลาดูแลลูกเต็ม 100%

เพราะเติบโตมาในยุคที่พ่อแม่ต้องทำงานไม่มีเวลาให้อย่างเต็มที่ จึงเป็นสาเหตุให้ Gen Y เป็นพ่อแม่ที่ทุ่มเทเต็มที่ให้ลูก ไม่ให้ลูกมีสิ่งที่ขาดหายไปเหมือนวัยเด็กของตนเอง โดยผู้หญิง Gen Y ที่มีแนวโน้มอยากเป็นคุณแม่เต็มตัวเพื่อให้เวลากับลูกน้อยให้ได้มากที่สุด

พ่อแม่ Gen Y จึงมีแนวโน้มใช้เวลาร่วมกันทั้งครอบครัวมากขึ้น ทั้งอยู่บ้านและนอกบ้าน ทำให้สินค้าบางกลุ่มเติบโตสูงขึ้น อาทิ กลุ่มสินค้าต่อเติมบ้าน วัตถุดิบทำอาหาร และของเล่นในกลุ่มอยู่บ้าน หรือรถเข็น คาร์ซีท และชุดว่ายน้ำในกลุ่มเที่ยวนอกบ้าน

2. ทุ่มเงินเสริมพัฒนาการลูก

เพราะองค์ความรู้ในการเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการเด็กเติบโตขึ้น พ่อแม่ Gen Y จึงใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 15% ในกลุ่มสินค้าเสริมพัฒนาการเด็ก เช่น ของเล่นเสริมพัฒนาการ ไม่ว่าจะเป็นตัวต่อเสริมทักษะ ชุดเย็บตุ๊กตาผ้า ชุดต่อบล็อก ชุดทำสไลม์ เป็นต้น รวมถึงหนังสือสื่อการศึกษาตามช่วงอายุต่างๆ

3. แบ่งบทบาท แต่ทำงานเป็นทีม

ด้านการจับจ่ายใช้สอย พ่อแม่ GenY ไม่ได้ให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้มีอำนาจควบคุมการใช้จ่าย แต่เป็นผู้ตัดสินใจซื้อสินค้าสำหรับเด็กเท่าๆ กัน แต่จะต่างกันในแง่ประเภทของสินค้ามากกว่า

กล่าวคือ คุณแม่จะใช้จ่ายมากกว่าในส่วนของเสื้อผ้า แอ็กเซสเซอรี่สำหรับเด็ก หนังสือเสริมพัฒนาการ และอาหาร ส่วนคุณพ่อจะใช้จ่ายในกลุ่มแกดเจ็ต เฟอร์นิเจอร์สำหรับเด็ก และของเล่นในสัดส่วนที่มากกว่า

สะท้อนให้เห็นว่าพ่อแม่ Gen Y มีแนวโน้มในการซื้อสินค้าสำหรับเด็กร่วมกันมากขึ้น ทำงานร่วมกันเป็นทีมมากขึ้น ไม่ได้มองว่าการดูแลลูกเป็นหน้าที่ของผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป

เรียกง่ายๆ ว่า เป็นพ่อแม่รุ่นที่ทุ่มเงินและทุ่มเวลาเลี้ยงลูก เป้าหมายคืออยากใช้เวลากับลูกให้เต็มที่ ไม่ให้ลูกเจอเหมือนตัวเองตอนเด็ก ใส่ใจเรื่องพัฒนาการเป็นพิเศษ

ทำให้สินค้ายอดนิยมที่สุดของพ่อแม่ Gen Y จึงเป็น หนังสือสื่อการศึกษา ตามด้วย ตัวต่อเสริมทักษะ ทิชชู่เปียกไร้แอลกอฮอล์ รถเข็นสำหรับเด็ก คาร์ซีท แชมพูและโลชั่นออร์แกนิก ชุดและอุปกรณ์ว่ายน้ำ สมาร์ทวอทช์สำหรับเด็ก กางเกงแห้งเร็ว และบอร์ดเกม

ของเล่นจีนระบาด ทะลุผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ

แม้ว่ายอดขายจะยังเติบโต แต่ตอนนี้ตลาดของเล่นไทยก็มีอีกปัญหาต้องห่วงเหมือนกัน ‘อุไรวรรณ บุนนาค’ นายกสมาคมการค้าของเล่นและผลิตภัณฑ์เด็กไทย บอกว่า แม้ปีที่แล้ว ‘ตลาดส่งออกของเล่นไทย’ จะเติบโตมากถึง 30% โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอาร์ตทอย แต่ก็มีปัญหา ‘ของเล่นไม่ได้มาตรฐาน’ ที่ส่วนใหญ่ถูกนำเข้าอย่างไม่ถูกกฎหมายจากจีน

ปัญหาหลักๆ คือ สินค้ามักไม่มีมาตรฐาน มอก. ไม่มีมาตรฐานความปลอดภัย และไม่มีมาตรฐานเคมีภัณฑ์ เป็นอันตรายต่อลูกค้าและเด็กๆ รวมถึงอาจจะมีการสอดไส้ส่งออกจากประเทศไทยไปสู่ประเทศอื่นด้วย

โดยส่วนใหญ่ของเล่นจีนเหล่านี้บางส่วนเข้ามาตีตลาดผ่านทางแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างๆ เพราะในไทยยังมีลูกค้าตลาดแมสที่เป็นลูกค้าของสินค้ากลุ่มนี้อยู่ ‘อุไรวรรณ’ บอกว่าผู้ประกอบการของเล่นไทยก็พยายามสู้แล้ว แต่ไม่สามารถไล่จับได้ทันทั้งหมด

สุดท้าย ‘ภูษิต’ ยืนยันว่า สินค้าแม่และเด็กไทยได้รับความนิยมในหลายตลาด โดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตจากไม้และยางพารา โดยปัจจุบันมี OEM หลายเจ้า เพราะไทยเก่งในการผลิตและมีความละเอียดสูง ทำให้คู่ค้าหลายเจ้าอยากจะเข้ามาผลิตด้วย ดังนั้นงาน Kind + Jugend ASEAN 2025 จึงเป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ผลิตไทยและต่างชาติด้วย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา