Smartphone เป็นสินค้าที่มีการแข่งอย่างดุเดือดในหลายประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ญี่ปุ่นที่ค่อนข้างชาตินิยม เพราะล่าสุด Fujitsu เบอร์สี่ของตลาดนี้ก็ตัดสินใจออกจากตลาดนี้ ด้วยการขายธุรกิจให้ผู้สนใจมูลค่า 14,300 ล้านบาท
ตลาดญี่ปุ่นไม่ง่าย หลังแบรนด์จีนรุมโจมตี
ตลาดโทรศัพท์มือถือที่ประเทศญี่ปุ่นในอดีตจะเต็มไปด้วยแบรนด์ท้องถิ่นจำนวนมาก แถมโทรศัพท์มือถือเหล่านั้นยังมีนวัตกรรมการใช้งานที่ล้ำกว่าประเทศอื่นๆ ใช้กัน เช่นส่งอีเมล หรือรูปภาพ แต่หลังจากยุค 3G และ 4G แพร่กระจายไปทั่วโลก ทำให้ความแตกต่างในเริ่มเลือนหายไป และกลายเป็นว่าแบรนด์ท้องถิ่นไม่ได้ต่างจากคู่แข่งประเทศอื่นแล้ว
นั่นทำให้ภาพรวมตลาดโทรศัพท์มือถือ (นับตามการส่งมอบ) เบอร์หนึ่งของตลาดจึงเป็น Apple รองลงมาเป็น Sharp ที่ไม่ได้เป็นแบรนด์ญี่ปุ่นแล้ว เพราะถูก Hon Hai Precision Industry หรือ Foxconn ซื้อกิจการไป ส่วนเบอร์ 3 ของตลาดเป้น Kyocera และตามด้วยเบอร์สี่อย่าง Fujitsu
ที่สำคัญยังมีการคาดการณ์ว่า แบรนด์ราคาถูกจากประเทศจีนจะเข้ามาโจมตีตลาดญี่ปุ่นเพิ่มเติม นอกจาก Apple จะแข็งแกร่ง และ Samsung จะเพิ่มความจริงจังในตลาดนี้ ทำให้แบรนด์ท้องถิ่นอยู่ยากกว่าเดิมแน่ๆ และนี่คืออีกเหตุผลที่ Fujitsu ตัดสินใจออกจากตลาดด้วยการขายกิจการโทรศัพท์มือถือ
ยอมขาย เพื่อ Focus ธุรกิจหลักที่จำเป็นกว่า
สำหรับการขายกิจการครั้งนี้ Fujitsu ได้ขายให้กับกลุ่มทุนในประเทศ Polaris Capital Group โดย Fujitsu จะขายหุ้นใหญ่ที่ถืออยู่ในบริษัทลูกที่ทำธุรกิจนี้อย่าง Fujitsu Connected Technologies เป็นมูลค่าราว 40,000-50,000 ล้านเยน (ราว 11,400-14,300 ล้านบาท)
ขณะเดียวกัน Fujitsu นั้นผลิตโทรศัพท์มือถือในจังหวัดเฮียวโงะ ประเทศญี่ปุ่น จึงชูจุดเด่นเรื่อง Made-in-Japan ในการจำหน่ายสินค้า แต่ด้วยแบรนด์ต่างๆ ในโลกโทรศัพท์มือถือมีมากกว่าเดิม และมันเข้ามาบุกจากทั่วโลก จึงไม่แปลกที่ยอดขาย Fujitsu ในปีปฏิทิน 2560 จะคาดการณ์ไว้ที่ 3.1 ล้านครึ่ง น้อยกว่าช่วงยอดขายสูงสุดถึงครึ่งหนึ่ง
ส่วนอีกเหตุผลที่ Fujitsu ตัดสินใจขายกิจการโทรศัพท์มือถือก็เพื่อหันไปให้ความสำคัญกับธุรกิจ IT ที่เป็นยอดขายหลักของบริษัท หรือกว่า 70% ของรายได้แทน ซึ่งก่อนหน้านี้ Fujitsu ได้บรรลุข้อตกลงในการควบรวมธุรกิจคอมพิวเตอร์กับ Lenovo ไปแล้ว ดังนั้นการยุติธุรกิจที่มีกำไรน้อยจึงต้องทำให้เร็วที่สุด
สรุป
ปกติแล้วยอดขายทั้งปีของธุรกิจโทรศัพท์มือถือของ Fujitsu จะอยู่ที่ 1.5 แสนล้านเยน มีกำไรจากการดำเนินงานราว 10,000 ล้านเยน แต่แทบไม่มีการเติบโต จึงไม่แปลกที่เบอร์สี่ในตลาดนี้จะตัดสินใจยุติการดำเนินการ และหันไปเน้นธุรกิจที่ให้กำไรได้มากกว่าเดิม
อ้างอิง // Nikkei Asian Review
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา